วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

Hot Short Bay 20010-01-11

คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4 ของปี 2009 จะหดตัวลงจากในไตรมาส 3 เนื่องจากการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าจำนวน 400 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อที่ปล่อยให้แก่ Dubai Finance ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q09 ของ BAY จะลงมา 28% QoQ มาอยู่ที่ 1,573 ล้านบาท โดย NIM จะกว้างขึ้นต่อหลังการซื้อกิจการของ GEMT ที่มี Loan Yield จากสินเชื่อรายย่อยสูงเข้ามา

อย่างไรก็ตาม เราได้ปรับประมาณการผลประกอบการของ BAY ขึ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี2009 และ 2010 จะอยู่ที่ 7,176 ล้านบาท และ 8,653 ล้านบาท ตามลำดับ หลังรายได้ค่าธรรมเนียมมีการเติบโตสูงเพราะสัดส่วนของธุรกิจรายย่อยสูงขึ้นมาก โดยรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วง 9 เดือนแรกเพิ่มขึ้นมาแล้ว 13% YoY และคาดว่าในปีจะเพิ่มขึ้น 16% YoY และ 11% YoY ในปี 2009 และ 2010 ตามลำดับ

หากกำหนดให้ PBV ของ BAY ในปีนี้อยู่ที่ 1.5 เท่า มูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 23 บาท ดังนั้นเราแนะนำ “ซื้อลงทุนระยะยาว” โดยมองว่าผลจากการปรับโครงสร้างพอร์ทสินเชื่อจะยังหนุนความสามารถในการทำกำไร และรายได้ค่าธรรมเนียม ได้ต่อเนื่องถึงปี 2010 เพราะธุรกิจรายย่อยมี Loan Yield และโอกาสทำ Cross-Selling ผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้มากกว่า การเพิ่มสัดส่วนของสินเชื่อรายย่อยเป็น 50% ภายในปีนี้ยังต้องใช้เวลาเนื่องจากกิจการที่เป็นเป้าหมายของการซื้อกิจการในปีนี้ไม่มากเหมือนปีก่อนๆ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะสั้นของกลุ่มธนาคารยังอาจได้รับผลจากปัจจัยทางการเมืองที่จะส่งผลต่อการใช้จ่ายภาครัฐ และการแก้ปัญหามาบตาพุดอยู่

Company Visit Note :
• คาดว่ากำไรใน 4Q09 ของ BAY จะลดลงจากการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าของหนี้ที่ปล่อยให้แก่ Dubai Finance BAY คาดว่าสินเชื่อทั้งปี 2009 จะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ 6% YoY หรือ 3.5 หมื่นล้านบาท หลังยอดสินเชื่อสิ้นเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นมาแล้ว 4 หมื่นล้านบาท โดยสินเชื่อที่โตขึ้นมากในปี 2009 เป็นผลมาจากการซื้อกิจการ เช่น AIGRB+AIGCC (21.9 พันล้านบาท), CFGS (1.4 พันล้านบาท) และบริษัทในกลุ่ม GEMT อีก 5 แห่ง (60.4 พันล้านบาท; 50% เป็น Credit Card และอีก50% เป็น สินเชื่อส่วนบุคคล) ซึ่งมีการรับรู้ทางบัญชีในเดือน พ.ย. 2009 ที่ผ่านมา BAY จะตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าของสินเชื่อเป็นจำนวน 50% ของยอดหนี้จำนวน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 800 ล้านบาท) ที่ปล่อยให้แก่ บริษัท Dubai Finance โดยหนี้ดังกล่าวจะครบกำหนดชำระหนี้คืนในเดือน มิ.ย. 2010 ดังนั้น BAY จะตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าดังกล่าวใน 4Q09 เป็นจำนวน 400 ล้านบาท แม้ว่าลูกหนี้ดังกล่าวยังจ่ายดอกเบี้ยได้อยู่อย่างไรก็ตาม การตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าเป็นไปตามการคาดการณ์ของเราอยู่แล้ว ตามที่เคยให้ความเห็นในวันที่ 1 ธ.ค. 2009 และเรามองว่าคุณภาพลูกหนี้โดยทั่วไปยังอยู่ในระดับเดิม โดยGross NPL (งบรวม) สิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 55.5 พันล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับ 55.1 พันล้านบาท ในปี 2008 และมี NPL Ratio อยู่ที่ 8.8% และมี Coverage Ratio (LLR%NPL) (งบรวม) อยู่ที่ 68% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2008 ซึ่งอยู่ที่ 59% ส่วนต่างของดอกเบี้ย (NIM) ใน 4Q09 ของ BAY จะกว้างขึ้นต่อเนื่องจากในไตรมาสก่อนๆ หลังการซื้อบริษัทในกลุ่ม จีอี เข้ามาเริ่มเห็นผล โดยคาดว่า NIM จะปรับตัวกว้างขึ้นมาจาก 3.50% ใน 1Q09 เป็น 3.98% และ 4.12% ใน 2Q09 และ 3Q09 ตามลำดับ มาอยู่ที่ 4.16% ใน 4Q09 รายได้ค่าธรรมเนียมใน 4Q09 ของ BAY จะมีการเติบโตต่อเนื่องหลังเพิ่มขึ้นมาแล้ว 15% YoY ในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2009 สูงกว่าเป้าทั้งปี 2009 ที่ 10% YoY และเราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมทั้งปี 2009 จะเพิ่มขึ้น 16% YoY โดยผลของการซื้อกิจการของ GEMT จะเริ่มส่งผลบ้างใน 4Q09 และจะเห็นผลเต็มที่ในปี 2010 คาดว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานใน 4Q09 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 บ้างเป็นปกติอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม อัตราค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost % Total Income) ของทั้งปี 2009 จะยังคงเท่ากับในช่วง 9 เดือนแรก ที่ประมาณ 55.7% ใกล้เคียงกับประมาณการทั้งปีที่เราทำไว้ที่ 56% คาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q09 ของ BAY จะอยู่ที่ 1,573 ล้านบาท ลดลง 28% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 86% YoY แต่หากรวมกำไรในไตรมาส 4 กับกำไรในงวด 9 เดือนแรก ของปี 2009 แล้ว คาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 2009 จะอยู่ที่ 7,176 ล้านบาท นอกจากนั้น เราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2010 เพิ่มเป็น 8,653 ล้านบาท จากสินเชื่อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5% YoY และ NIM ที่ 4.12%
ดังนั้น หากให้ PBV อยู่ที่ 1.5 เท่า มูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 23 บาท ดังนั้น เรายังคงแนะนำ “ซื้อลงทุนระยะยาว”
• เป้าหมายโครงสร้างสินเชื่อรายย่อยที่ 50% ในปีนี้ยังต้องใช้เวลาหากไม่มีการซื้อกิจการอื่นเข้ามาอีก
โครงสร้างของสินเชื่อเปลี่ยนไปตามแผน โดยสินเชื่อรายย่อยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 32% ในปี 2008 เป็น 42% ในปี 2009 (รวมการเติบโตแบบ Inorganic) เปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ 50% ซึ่ง BAY ต้องการทำให้ได้ภายในปี 2010 การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรายย่อยส่วนใหญ่เกิดจากการซื้อบริษัทในกลุ่ม GE ที่ทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อย เข้ามาในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างของพอร์ทสินเชื่อที่เปลี่ยนไปจะทำให้ส่วนต่างของดอกเบี้ยของ BAY สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะ Loan Yield ที่สูงของสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ตาม หาก BAY เน้นการเติบโตจากภายในเป็นหลักการเพิ่มสัดส่วนของรายย่อยยังต้องใช้เวลาเนื่องจากการแข่งขันที่สูงในปัจจุบัน ในขณะที่เป้าหมายการซื้อกิจการไม่มากเหมือนในปีก่อน ๆ

Resource: BSEC Research

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น