วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

หยิบเงินยิบทอง 2010-01-14

ประเด็นสำคัญวันนี้: แนวรับ 740 จุดทำงานได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าตลาดหุ้นรอบเอเชียจะลดลงเฉลี่ย 1% และกดดันให้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเป็นวันที่ 4 อีก 399 ล้านบาท แต่กลับ Long สุทธิใน Futures จำนวน 481 สัญญา คาดว่าจะเป็น SSF / SET50 Index Futures พร้อมกับซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อีก 481 ล้านบาท เริ่มเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

การเคลื่อนไหวของ SET INDEX วันนี้ เชื่อว่าจะขยับขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย โดยกลุ่มพลังงานน่าจะเป็นกลุ่มนำตลาดอีกครั้ง เมื่อความคืบหน้าต่อการแก้ไขปัญหากรณีมาบตาพุด จากร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระได้ลงนามในราชกิจจาฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสรรหาตัวบุคคล ตามมาด้วยแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า เพราะการประมูลขายพันธบัตรของสหรัฐฯ คืนวันนี้เป็นวันสุดท้าย น่าจะช่วยให้ราคาน้ำมันดินในตลาดโลกวันนี้ฟื้นตัวขึ้น

สำหรับประเด็นในวันนี้อยู่ที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่ำคืนนี้ ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. ซึ่งตลาดมองว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวจาก 1.3% mom เป็น 0.4% mom มีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเลขจะออกมาดีกว่าคาด ด้วยแรงซื้อของ “Last Minute” ขณะที่การประชุม ECB เชื่อว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1% ตามที่คาด พร้อมกับมุมมองต่อเศรษฐกิจดีขึ้น

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng ยืนยันให้รอ “ทยอยขายทำกำไรราว 1 ใน 4 ของพอร์ตการลงทุน” บริเวณ 750-755 จุด และแนะนำ “ทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัว” PTT / AOT

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้ “ทยอยปิดสถานะ Long S50H10” บริเวณ 530 จุด และถือเงินสด จุด Stop Loss: S50H10 < 520 จุด ปิด Long เปิด Short

Resource: Kimeng

Hot Short SCIB 20010-01-14

กำไรไตรมาส 4/2009 โตแข็งแกร่ง แนะให้จับตาการยื่นเสนอราคาซื้อในเดือน ก.พ.

ช่วงต้นเดือน ก.พ. จะมีการยื่นราคาเสนอซื้อ SCIB จำนวน 47.58% จากกองทุนฟื้นฟูและมีการคาดกันว่าการซื้อรวมถึงการอนุมัติจากกระทรวงการคลังจะเสร็จสิ้นได้ประมาณไตรมาส2/2010 ดังนั้น กลุ่มสถาบันการเงินที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกรอบแรกที่เน้นเรื่อง Synergy มาแล้วจะได้รับการคัดเลือกโดยพิจารณาจากราคาเสนอซื้อ ดังนั้น เรายังคงคาดว่าราคาหุ้น SCIB จะมีความผันผวนในช่วงไตรมาส 1-2 นี้ได้อีก โดยต้องจับตามองความเสี่ยงทางการเมืองด้วย เพราะดีลนี้จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงการคลังด้วย โดยดูจากตัวอย่างของดีลของ ไทยธนาคารที่ยืดเยื้อออกไปบ้าง

เราคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2009 ของ SCIB จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,816 ล้านบาท เพิ่มขึ้น66% QoQ จาก NIM ที่ยังคงแข็งแกร่งหลังโครงสร้างเงินฝากเปลี่ยนเป็นออมทรัพย์มากขึ้น และการเน้นปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มี Loan Yield สูง นอกจากนั้น SCIB ไม่มีค่าเผื่อการด้อยค่าเหมือนในไตรมาส 4/2008 ดังนั้น คาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 2009 จะอยู่ที่ 4,895 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเพราะการกระเตื้องขึ้นของสินเชื่อ NIM ที่กว้าง และมีกำไรจากการลงทุนดีกว่าที่คาดไว้

นอกจากนั้น คาดว่ากำไรสุทธิของปี 2010 จะอยู่ที่ 5,909 ล้านบาท จากสินเชื่อที่ SCIB ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 6% และ GDP ที่เติบโต 3% โดยมีค่าสำรองหนี้อยู่ที่ 50 bps ของสินเชื่อและอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ที่ 56% ดังนั้น หากให้ PBV อยู่ที่ 1.2 เท่า มูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 27 และแนะนำเพียง “ขายทำกำไรระยะสั้น” แต่คาดว่าการเก็งกำไรราคาเสนอซื้อจะทำให้ราคาหุ้น SCIB ยังมีความผันผวนได้อีก ดังนั้น แนะนำให้รอซื้อกลับช่วงที่ราคาต่ำกว่า 27 บาท

Company Visit Note :
• ปัจจัยการเมืองในไตรมาส 1/2010 และการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น SCIB ที่สูงเกินไปจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเก็งกำไร การขายหุ้น SCIB ในส่วนที่ FIDF ถืออยู่ 47.58% มีประเด็นดังนี้
1. สถาบันการเงินที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาขั้นแรกเป็นกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์เรื่องSynergy ไปแล้ว ดังนั้น การตัดสินใจขั้นสุดท้ายจึงขึ้นกับราคาเสนอซื้อมากกว่า เราคาดว่าราคาเสนอซื้อหุ้น SCIB จะเป็นเกณฑ์หลักต่อไปในการพิจารณาเลือกผู้ซื้อหุ้น SCIB จาก FIDF ดังนั้น การปรับตัวขึ้นมากเกินไปของราคาหุ้น SCIB จะทำให้ความเสี่ยงสำหรับการเก็งกำไรสูงขึ้น แต่เรามองว่าการปรับตัวลงมาของราคาหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อเก็งกำไร และการปรับตัวขึ้นที่รุนแรงเกินไปจะเป็นโอกาสของการขายทำกำไรมากกว่าเรามองว่าสถาบันการเงินที่สามารถสร้าง Synergy กับ SCIB ได้มากสุด (ตามที่เคยวิเคราะห์ในช่วงต้นปี 2009 ไปแล้ว) และมีสภาพคล่องสูง จะมีโอกาสเสนอราคาเทนเดอร์ออฟเฟอร์ได้สูงสุด และจะทำให้มีโอกาสชนะการประมูลซื้อหุ้น SCIB ได้ดังนั้น เกมส์ราคาเสนอซื้อจึงเป็นประเด็นที่น่าจับตามองมาก โดยราคาเสนอซื้อจะมีการยื่นประมาณต้นเดือน ก.พ. นี้
2. ความเสี่ยงทางการเมืองยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง กระบวนการขายหุ้นจะจบลงที่การอนุมัติโดยกระทรวงการคลังซึ่งคาดว่าจะจบได้ภายในไตรมาส 2/2010 ดังนั้น เรามองว่าความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมืองจะมีผลต่อดีลนี้ด้วยเนื่องจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลังจะเป็นผู้อนุมัติการขายหุ้น SCIB ในส่วนของ FIDF ใน
ขั้นตอนสุดท้าย และหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอาจทำให้การตัดสินใจขั้นสุดท้ายต้องเลื่อนออกไปเหมือนที่เคยเกิดกับ ไทยธนาคาร (BT) มาก่อน ดังนั้นประเด็นดังกล่าวอาจมีผลทำให้ราคาหุ้น SCIB มีความผันผวนได้
• คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2009 ของ SCIB จะอยู่ที่ 1,816 ล้านบาท และได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2009 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4,895 ล้านบาท เพราะการพลิกกลับของสินเชื่อ และ NIM ที่ดีกว่าที่คาดไว้ก่อนนี้
SCIB คาดว่าสินเชื่อทั้งปี 2009 จะสามารถขยับขึ้นจาก -1.67% YTD ใน 3Q09 มาเป็น 0% YTD ภายในสิ้นปี 2009 ได้ หลังสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้คาดว่าสินเชื่อในไตรมาส 4/2009 จะเพิ่มขึ้น 1% QoQ เหมือนกับหลายธนาคารที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ SCIB มีการเน้นในสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากกว่าเท่านั้น
NIM ที่ไม่รวมปันผลจาก VAYU1 ใน 4Q09 จะทรงตัวจากใน 3Q09 อย่างไรก็ตาม หากรวมปันผลจาก VAYU1 แล้วคาดว่า NIM ใน 4Q09 จะอยู่ที่ 3.30% ใกล้เคียงกับใน 3Q09 เนื่องจากผลของการปรับโครงสร้างเงินฝากที่เน้นเงินฝากออมทรัพย์มากขึ้น นอกจากนั้น การเพิ่มสัดส่วนของธุรกิจรายย่อยที่มี Loan Yield สูงกว่าก็มีส่วนช่วยหนุนส่วนต่างของดอกเบี้ยของธนาคารเช่นกัน เรามองว่าแนวโน้มมาร์จิ้นของดอกเบี้ยจากสินเชื่อดังกล่าวจะดีขึ้นต่อเนื่องหลังธนาคารตั้งเป้าสัดส่วนของเงินฝากออมทรัพย์ไว้ที่ 40% ค่าสำรองหนี้ในไตรมาส 4/2010 จะอยู่ที่ 200 ล้านบาท ทำให้ค่าสำรองทั้งปี 2009 อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80 bps ของสินเชื่อในปี 2009 อย่างไรก็ตาม SCIB ได้ตั้งเป้าค่าสำรอง หนี้สำหรับปี 2010 ไว้ที่ 50 bps ของสินเชื่อ ดังนั้น เราคาดว่าค่าสำรองหนี้ของธนาคารจะลดลงมาอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ในปี 2010 นี้ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงลดลงคุณภาพของสินทรัพย์ของธนาคารยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่ายอด NPL ในปี 2009 จะมีการเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ธนาคารมองว่า NPL Ratio จะลดลงต่อในปี 2010 ส่วนการบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าใน 4Q08 เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้กำไรใน 4Q09 เพิ่มขึ้น เพราะธนาคารไม่มีการตั้งค่าใช้จ่ายดังกล่าวใน 4Q09 ดังนั้น โดยสรุปแล้วเราคาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q09 จะเพิ่มขึ้นถึง 66% QoQ หรือ 185% YoY
มาอยู่ที่ 1,816 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ที่ 52% และทำให้คาดว่ากำไรสุทธิของทั้งปี 2009 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% YoY โดย NIM อยู่ที่ 3.27% แต่สินเชื่ออยู่ในระดับเดิม และอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ที่ 57% ซึ่งดีกว่าเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้ที่ไม่มากกว่า 60%
• คาดว่ากำไรในปี 2010 จะเติบโตแข็งแกร่งต่อ โดยพันธมิตรใหม่จะหนุนศักยภาพของธนาคารในอนาคต
SCIB ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปี 2010 ไว้ที่ 6% YoY จากสมมติฐานที่กำหนดให้GDP เพิ่มขึ้น 3% YoY โดยจะเน้นที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยเหมือนปีก่อน ซึ่งเรามองว่าจะมีการเติบโตที่ดีเพราะแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเร่งให้ผู้ซื้อบ้านรีบตัดสินใจซื้อบ้านก่อนอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเราคาดว่า NIM ของ SCIB จะยังคงกว้างขึ้นต่อเพราะผลของการปรับโครงสร้างเงินฝาก และแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในปีนี้จะทำให้เกิดผลบวกจาก Time-Lag Effect ในระยะสั้นต่อกลุ่มธนาคารได้นอกจากนั้น เราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมในปี 2010 ของ SCIB จะเพิ่มขึ้น 15% YoY โดยรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจ Bancassurance ที่มีการเติบโตสูงมาก และมีสัดส่วนสูงของรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารเป็นปัจจัยหลัก และคาดว่าอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมของ SCIB จะอยู่ที่ 56% โดยสรุปแล้ว คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2010 จะเพิ่มขึ้น 21% YoY มาอยู่ที่ 5,909 ล้านบาท และได้ประเมินมูลค่าพื้นฐานของธนาคารไว้ที่ 27 บาท จาก PBV ที่ 1.2 เท่า
• กรณีมาบตาพุดยังไม่มีผลต่อ SCIB ในขณะนี้กรณีมาบตาพุดจะยังไม่มีผลต่อ SCIB โดยธนาคารจะยังไม่มีการพิจารณาเรื่องการตั้งสำรองเชิงคุณภาพในขณะนี้จนกว่าจะมีการแจ้งจากธปท.เนื่องจากสินเชื่อในโครงการมาบตาพุดเป็นซินดิเคทโลน โดยธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ 1 ราย ที่วงเงินรวม 3 พันล้านบาท ดังนั้น เราจะยังคงความเห็นกรณีดังกล่าวเหมือนเดิม โดยมองว่าเนื่องจากทางการกำลังเร่งแก้ไขปัญหาระดับชาตินี้

Resource: BSEC Research

หยิบเงินยิบทอง 2010-01-13

ประเด็นสำคัญวันนี้: SET INDEX วานนี้ถือว่าเคลื่อนไหวในเกณฑ์ที่ดี หากเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียและยุโรป ปิดลดลงเพียง 0.23% เท่านั้น แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะยังขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 อีก 309 ล้านบาท แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นการนำเงินเข้าพักในตลาดตราสารหนี้ วานนี้กลับมาซื้อสุทธิ 416 ล้านบาท ทั้งนี้คงต้องติดตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติต่อตลาดเงิน - ตลาดทุนไทยในระยะนี้อย่างใกล้ชิด

มุมมองต่อ SET INDEX วันนี้เชื่อว่าจะปรับฐานลงแรงในช่วงเปิดตลาด ตาม Nikkei และ HSKI เช้าวันนี้ ด้วยความกังวลจากธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มขึ้น Cash Reserve Ratio อีก 0.50% และมีผลตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.นี้ ทำให้นักลงทุนต่างกังวลต่อการขยายตัวด้านเศรษฐกิจของจีน อย่างไรก็ตาม KimEng เชื่อว่า SET INDEX ยังมีแนวรับหลักบริเวณ 740 +/- ซึ่งน่าจะเกิด Technical Rebound บวกกับนักลงทุนที่ทยอยขายออกมาก่อนหน้านี้ อาจได้จังหวะของการเข้าสะสมหุ้นเมื่ออ่อนตัวลง โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ เพราะด้วยโครงสร้างปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากมาตรการดังกล่าว อีกทั้งปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่มีเสถียรภาพ น่าจะลดความกังวลจากนักลงทุนต่างชาติได้เช่นกัน

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศวันนี้คือ การประชุมกนง. KimEng และตลาดต่างคาดว่ากนง.จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ย RP1 วันที่ 1.25% ตามมาด้วยมุมมองต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ และควบคุมได้ จึงยังไม่ใช่ปัจจัยหลักต่อการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทย

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng ยืนยันให้รอ “ทยอยขายทำกำไรราว 1 ใน 4 ของพอร์ตการลงทุน” บริเวณ 750-755 จุด และแนะนำ “ทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัว” IRPC / SCC

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้ “ถือสถานะ Long S50H10” ข้ามวัน แม้ว่าวันนี้ SET50 Index จะปรับฐานลง จุด Stop Loss: S50H10 < 515 จุด ปิด Long เปิด Short

Resource: Kimeng

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

Daily Direc 2010-01-12

Market Attitude: แม้มีสัญญาณขึ้น แต่ระวังการขายทำกำไรด้วย
ตลาดหุ้นไทยถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาด ทั้งๆ ที่ปัจจัยไม่ถึงกับโดดเด่นอะไร เราทำได้ดีกว่าหุ้นในภูมิภาค โดยหุ้นกลุ่มพลังงานช่วยหนุน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิด้วยซ้ำไป ปัจจัยในประเทศการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงก็ไม่มีอะไรวุ่นวาย ด้านต่างประเทศ หุ้นสหรัฐบวกอีกวานนี้ โดยอิงปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจจีนจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจโลกแข็งแกร่งขึ้น นักลงทุนมีการโยกเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น จึงขายดอลลาร์ออกมาเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ซึ่งจะมีผลต่อการหนุนสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลงเล็กน้อยวานนี้ แต่เป็นเพราะพยากรณ์อากาศว่าจะอุ่นขึ้น แต่ถ้ามองปัจจัยจากจีนรวมทั้งค่าเงินดอลลาร์ ที่จะอ่อนลงต่อในสัปดาห์นี้ น่าจะหนุนราคาน้ำมันได้อีก หุ้นสหรัฐ นอกจากปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจแล้ว ช่วงนี้จะเข้าสู่ช่วงการประกาศผลประกอบการของไตรมาส 4 และปี 2009 ตามที่กล่าวไว้วานนี้ ผลต่อตลาดเป็นไปได้ทั้งสองทาง ขึ้นอยู่กับผลงานของบริษัทใหญ่ๆ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังการปรับขึ้นวานนี้จนผ่านระดับ 742 จุด ในทางเทคนิคมีสัญญาณปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยมีลุ้นที่ระดับสูงสุดเดิมที่ 758 จุด แต่ดัชนีต้องไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันที่ 735 จุด ด้วย อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นก็ให้ระวังการขายทำกำไรด้วย เพราะตลาดต่างประเทศในภูมิภาคมีการขายทำกำไรในช่วงเช้า
กลยุทธ์การลงทุน
�� ระยะกลาง : ถือต่อ
�� ระยะสั้น : เก็งกำไรแบบลุ้นต่อยอด

Market Viewpoint:
ตลาดหุ้นสหรัฐ – ดาวโจนส์ +45.80 จุด +0.43% ปิดที่ 10,663.99 หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะแข็งแกร่งขึ้น โดยจีนรายงานว่ายอดนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทอยู่ใน
ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และยอดส่งออกอยู่ในระดับสูงเกินคาด และข่าวนี้ก็ช่วยหนุนหุ้นบริษัทสหรัฐที่มีกิจการขนาดใหญ่ในต่างประเทศ อย่างเช่นหุ้นแคเทอร์พิลลาร์ อิงค์ และหุ้นอัลโค อิงค์น้ำมันดิบ – NYMEX -0.23 เหรียญ -0.28% ปิดที่ 82.52 ดอลลาร์/บาร์เรลขณะที่พยากรณ์อากาศคาดว่าอุณหภูมิในสหรัฐจะอบอุ่นขึ้นหลังจากผ่านพ้นภาวะหนาวจัดมาตรการอสังหาริมทรัพย์ - ลุ้นคลังชงต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
โรงแรม - สมาคมโรงแรมไทย คาดอัตราการเข้าพักของธุรกิจโรงแรมไทยในปี 53 จะเติบโต 15-20% จากปีก่อน หลังเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว แต่ยังหวั่นการเมือง
มาบตาพุด - แบงก์ไทยโดดอุ้มลูกหนี้มาบตาพุด กกร.หวั่นยืดเยื้อ 5 เดือน ทุนญี่ปุ่นหนี สมาคมธนาคารไทย อาสาให้กู้ลงทุนมาบตาพุด หากแบงก์
ต่างชาติเมิน - ชง ครม.วันนี้ตั้งบอร์ดสรรหาองค์การอิสระTRUE - คาดรายได้ปี 53 สูงกว่าปี 52 แต่ยังโตเป็นตัวเลขหลักเดียว ส่วนปี 52 มีรายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายคือ เติบโตราว 5%
STEEL - ตลท.ขอข้อมูลตรวจสอบซื้อขายหุ้น STEEL จากโบรกฯ
PS - คาดรายได้ปี 53 โตอย่างน้อย 30% จากปีก่อนที่คาดรายได้สูงกว่าเป้าที่ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้มียอดขายรอการโอนราว 1.5 หมื่นล้านบาท

Market News
คลัง คาดออกพันธบัตรออมทรัพย์ราว 5-8 หมื่นลบ.ในปลาย Q1/53
กระทรวงการคลัง คาดออกพันธบัตรออมทรัพย์ มูลค่าประมาณ 5-8 หมื่นล้านบาท ในปลายไตรมาส 1/53 เน้นเสนอขายให้กับผู้ฝากเงินรายย่อย และประชาชนที่พึ่งพาดอกเบี้ยเงินฝากเป็นหลัก ขณะที่ สัปดาห์หน้า จะมีการชี้แจงนโยบายการบริหารเศรษฐกิจในปี 53 ซึ่งจะเน้นเรื่องการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเป็นหลัก จากที่มุ่งแก้ไขปัญหาจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงปี 52 ที่ผ่านมา (Reuters)

คลังไม่อนุมัติคำขอให้กู้เงินแทนการบินไทย 7.3 พันลบ., ชี้ยังไม่ชัดเจน
คณะกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ ไม่อนุมัติคำขอของบมจ.การบินไทย(THAI) ที่จะให้กระทรวงการคลัง กู้ยืมเงินแทนTHAI ก่อนในระยะแรก สำหรับการชำระค่าเครื่องบิน จำนวน 7.3 พันล้านบาท เนื่องจากยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน "การบินไทย ขอให้กระทรวงการคลังกู้ยืมในจังหวะที่เขายังไม่สรุปการกู้ยืมของตัวเอง โดยให้กระทรวงการคลังกู้ยืมแทนก่อน เป็นลักษณะของ bridge finance แล้วการบินไทยจะมาชำระคืนให้กระทรวงในภายหลัง แต่ยังไม่มีการอนุมัติ เพราะยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน"นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวแถลงข่าว หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ (Reuters)

ลุ้นคลังชงต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
นายสาธิต รังคสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น ยกเว้นค่าโอนและเงินจดจำนองที่จะสิ้นสุดเดือนมี.ค.นี้ว่าจะต่ออายุมาตรการดังกล่าวอีกหรือไม่นั้น รวมทั้งมีการปรับปรุงภาษีเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป (โพสต์ทูเดย์)สมาคมโรงแรมไทย คาดอัตราเข้าพักปีนี้โต 15-20% แต่ยังหวั่นการเมืองสมาคมโรงแรมไทย คาดอัตราการเข้าพักของธุรกิจโรงแรมไทยในปี 53 จะเติบโต 15-20% จากปีก่อน หลังเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว จะช่วยผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทยมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ คงยังไม่รีบปรับขึ้นค่าห้องพักในปีนี้ เพราะจะกระทบต่อการตัดสินใจใช้บริการของนักท่องเที่ยว รวมทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ คอยกดดัน อย่างไรก็ตาม นายกสมาคมโรงแรมไทย แสดงความเป็นห่วงว่า การเติบโตที่มองไว้ปีนี้ อาจไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ หากเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศขึ้นอีก ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวอย่างมาก นอกจากนี้ นโยบายด้านการลงทุนของรัฐบาล ที่ไม่มีความชัดเจน อย่างเช่นกรณีของโครงการลงทุนในมาบตาพุด ก็มีผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ และส่งผลกระทบต่อฐานลูกค้าในกลุ่มนักลงทุนและนักธุรกิจเช่นกัน (Reuters)

แบงก์ไทยโดดอุ้มลูกหนี้มาบตาพุด กกร.หวั่นยืดเยื้อ 5 เดือน ทุนญี่ปุ่นหนี สมาคมธนาคารไทย อาสาให้กู้ลงทุนมาบตาพุด หากแบงก์ต่างชาติเมิน - ชง ครม.วันนี้ตั้งบอร์ดสรรหาองค์การอิสระ
ประธานสมาคมแบงก์ ไม่เชื่อแบงก์ต่างชาติทิ้งนักลงทุนใน "มาบตาพุด" เหตุเป็นลูกค้าดีระบุธนาคารพาณิชย์ พร้อมรับโอนหนี้หากถูกทิ้ง กกร. ส่งหนังสือนายกฯ ขีดเส้น 5 เดือนต้องแก้ปัญหามาบตาพุดเสร็จ เร่งวางแนวปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ สร้างความเชื่อมั่นนักธุรกิจ ประธานหอการค้าห่วงญี่ปุ่นเอาจริงถอนลงทุนไทย ชง ครม.วันนี้ ตั้งคณะกรรมการสรรหาองค์การอิสระตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 (กรุงเทพธุรกิจ) TRUE คาดรายได้ปี 53 สูงกว่าปี 52 แต่โตเป็นตัวเลขหลักเดียวบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น(TRUE) คาดรายได้ปี 53 สูงกว่าปี 52 แต่ยังโตเป็นตัวเลขหลักเดียว ส่วนปี 52 มีรายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายคือ เติบโตราว 5% นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร TRUE กล่าวว่า รายได้ในปี 53 ที่คาดเติบโต มาจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวและเติบโตได้ดี โดยบริษัทคาดว่าน่าจะมีรายได้ในส่วนของโฆษณาจากทรู วิชั่นส์ เข้ามาเพิ่มด้วย แต่สัดส่วนรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาของทรู วิชั่นส์ คงไม่เกิน 5% ของรายได้รวมของทรูวิชั่นส์ ส่วนทรู อินเตอร์เน็ต บรอดแบนด์ ยังมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เขา กล่าวว่า สำหรับตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ ถ้ามีระบบ 3G จะทำให้สามารถเติบโตได้ดีมากขึ้น (Reuters)

ตลท.ขอข้อมูลซื้อขายหุ้น STEEL จากโบรกฯ ตรวจสอบมีการกระทำผิดหรือไม่
นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ระบุว่า ตลท.ได้ขอข้อมูลการซื้อขายหุ้นบมจ.สตีล อินเตอร์เทค(STEEL) จากโบรกเกอร์หลายแห่ง เพื่อตรวจสอบว่าเข้าข่ายมีการกระทำผิดหรือไม่ (Reuters)

PS คาดรายได้ปี 53 โตอย่างน้อย 30% จากปีก่อน,อัตรากำไรสุทธิ 15-16%
บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท (PS) คาดรายได้ปี 53 โตอย่างน้อย 30% จากปีก่อนที่คาดรายได้สูงกว่าเป้าที่ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้มียอดขายรอการโอนราว 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้กว่า 9 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดอัตรากำไรสุทธิปีนี้ 15-16% ในไตรมาส 4/52 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ราว 17 โครงการ และมียอดขายเข้ามามากในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.52 ซึ่งบางส่วนอาจจะมีการโอนตั้งแต่ไตรมาส 1/53 เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายที่รอการโอนราว 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 9 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ในปี 53 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 48 โครงการ มูลค่าราว 3.0-3.5 หมื่นล้านบาท สำหรับรายได้ในปีที่ผ่านมา คาดว่าจะทำได้สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ราว 1.7 หมื่นล้านบาท (Reuters)

BLISS คาดขายหุ้นเพิ่มทุนให้ PP เสร็จภายในปีนี้ เจรจามากกว่า 1 ราย
บมจ.บลิส-เทล(BLISS) คาดเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่บุคคลในวงจำกัด (PP) เสร็จภายในปีนี้ โดยกำลังเจรจากับผู้ซื้อมากกว่า 1 ราย เมื่อเดือนพ.ย.คณะกรรมการ BLISS ได้มีมติเพิ่มทุน 2.64 พันล้านหุ้น เพื่อเสนอขายแบบ PP โดยวัตถุประสงค์การเพิ่มทุน เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ, ใช้ขยายธุรกิจเดิมของบริษัท, ใช้ลงทุนธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ และใช้ลงทุนในธุรกิจต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ (Reuters)

Resource: BSEC Research

หยิบเงินยิบทอง 2010-01-12

ประเด็นสำคัญวันนี้: SET INDEX วานนี้ขยับขึ้นดีกว่าที่คาดไว้มาก โดยสามารถยืนเหนือ 740 ได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แต่ก็เพียง 204 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ และมากถึง 1,861 ล้านบาท เชื่อว่าเป็นการทำกำไรจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน หลังค่าเงินบาทแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว เชื่อว่าปัจจัยการเมืองภายในประเทศไม่ใช่สาระสำคัญต่อการไหลออกของเงินทุนต่างชาติวานนี้

สำหรับการเคลื่อนไหวของ SET INDEX วันนี้ คาดว่าจะอ่อนตัวลงในช่วงเปิดตลาด จากความกังวลต่อแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดเงิน และตลาดทุนไทยวานนี้ แต่ด้วยภาวะการลงทุนโดยรวมที่เป็นบวก ย่อมทำให้ SET INDEX มีโอกาสทดสอบแนวต้าน 750-755 จุดในวันนี้ได้เช่นกัน ทั้งการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศยังอยู่ในกรอบที่รับได้ ตามมาด้วยมุมมองเชิงบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วเอเชีย ผ่านการทำ US Dollar Carry Trade น่าจะส่งผลให้เกิดแรงซื้อหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติตามมาในท้ายที่สุด เพราะเป็นที่น่าสังเกตุว่าโบรกเกอร์ต่างชาติหลายแห่งต่างทยอยปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นหลักของตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป้าหมาย SET INDEX ในปีนี้ นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

ขณะที่ความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนต่างชาติดีขึ้น และน่าจะถือได้ว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลัง VIX Index คืนวานนี้ปิดที่ 17.55 จุด ต่ำสุดในรอบกว่า 19 เดือน

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng แนะนำ “เริ่มทยอยขายทำกำไรราว 1 ใน 4 ของพอร์ตการลงทุน” บริเวณ 750-755 จุด และถือพอร์ตส่วนที่เหลือ เพื่อ Let profit run ทั้งนี้หาก SET INDEX อ่อนตัวลง แนะนำ “ทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัว” IRPC / SCC

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้ “ปิดสถานะ Long S50H10” บริเวณ 530 จุด เพื่อทำกำไร

Resource: Kimeng

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

Hot Short Bay 20010-01-11

คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4 ของปี 2009 จะหดตัวลงจากในไตรมาส 3 เนื่องจากการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าจำนวน 400 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อที่ปล่อยให้แก่ Dubai Finance ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q09 ของ BAY จะลงมา 28% QoQ มาอยู่ที่ 1,573 ล้านบาท โดย NIM จะกว้างขึ้นต่อหลังการซื้อกิจการของ GEMT ที่มี Loan Yield จากสินเชื่อรายย่อยสูงเข้ามา

อย่างไรก็ตาม เราได้ปรับประมาณการผลประกอบการของ BAY ขึ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี2009 และ 2010 จะอยู่ที่ 7,176 ล้านบาท และ 8,653 ล้านบาท ตามลำดับ หลังรายได้ค่าธรรมเนียมมีการเติบโตสูงเพราะสัดส่วนของธุรกิจรายย่อยสูงขึ้นมาก โดยรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วง 9 เดือนแรกเพิ่มขึ้นมาแล้ว 13% YoY และคาดว่าในปีจะเพิ่มขึ้น 16% YoY และ 11% YoY ในปี 2009 และ 2010 ตามลำดับ

หากกำหนดให้ PBV ของ BAY ในปีนี้อยู่ที่ 1.5 เท่า มูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 23 บาท ดังนั้นเราแนะนำ “ซื้อลงทุนระยะยาว” โดยมองว่าผลจากการปรับโครงสร้างพอร์ทสินเชื่อจะยังหนุนความสามารถในการทำกำไร และรายได้ค่าธรรมเนียม ได้ต่อเนื่องถึงปี 2010 เพราะธุรกิจรายย่อยมี Loan Yield และโอกาสทำ Cross-Selling ผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้มากกว่า การเพิ่มสัดส่วนของสินเชื่อรายย่อยเป็น 50% ภายในปีนี้ยังต้องใช้เวลาเนื่องจากกิจการที่เป็นเป้าหมายของการซื้อกิจการในปีนี้ไม่มากเหมือนปีก่อนๆ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะสั้นของกลุ่มธนาคารยังอาจได้รับผลจากปัจจัยทางการเมืองที่จะส่งผลต่อการใช้จ่ายภาครัฐ และการแก้ปัญหามาบตาพุดอยู่

Company Visit Note :
• คาดว่ากำไรใน 4Q09 ของ BAY จะลดลงจากการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าของหนี้ที่ปล่อยให้แก่ Dubai Finance BAY คาดว่าสินเชื่อทั้งปี 2009 จะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ 6% YoY หรือ 3.5 หมื่นล้านบาท หลังยอดสินเชื่อสิ้นเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นมาแล้ว 4 หมื่นล้านบาท โดยสินเชื่อที่โตขึ้นมากในปี 2009 เป็นผลมาจากการซื้อกิจการ เช่น AIGRB+AIGCC (21.9 พันล้านบาท), CFGS (1.4 พันล้านบาท) และบริษัทในกลุ่ม GEMT อีก 5 แห่ง (60.4 พันล้านบาท; 50% เป็น Credit Card และอีก50% เป็น สินเชื่อส่วนบุคคล) ซึ่งมีการรับรู้ทางบัญชีในเดือน พ.ย. 2009 ที่ผ่านมา BAY จะตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าของสินเชื่อเป็นจำนวน 50% ของยอดหนี้จำนวน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 800 ล้านบาท) ที่ปล่อยให้แก่ บริษัท Dubai Finance โดยหนี้ดังกล่าวจะครบกำหนดชำระหนี้คืนในเดือน มิ.ย. 2010 ดังนั้น BAY จะตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าดังกล่าวใน 4Q09 เป็นจำนวน 400 ล้านบาท แม้ว่าลูกหนี้ดังกล่าวยังจ่ายดอกเบี้ยได้อยู่อย่างไรก็ตาม การตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าเป็นไปตามการคาดการณ์ของเราอยู่แล้ว ตามที่เคยให้ความเห็นในวันที่ 1 ธ.ค. 2009 และเรามองว่าคุณภาพลูกหนี้โดยทั่วไปยังอยู่ในระดับเดิม โดยGross NPL (งบรวม) สิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 55.5 พันล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับ 55.1 พันล้านบาท ในปี 2008 และมี NPL Ratio อยู่ที่ 8.8% และมี Coverage Ratio (LLR%NPL) (งบรวม) อยู่ที่ 68% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2008 ซึ่งอยู่ที่ 59% ส่วนต่างของดอกเบี้ย (NIM) ใน 4Q09 ของ BAY จะกว้างขึ้นต่อเนื่องจากในไตรมาสก่อนๆ หลังการซื้อบริษัทในกลุ่ม จีอี เข้ามาเริ่มเห็นผล โดยคาดว่า NIM จะปรับตัวกว้างขึ้นมาจาก 3.50% ใน 1Q09 เป็น 3.98% และ 4.12% ใน 2Q09 และ 3Q09 ตามลำดับ มาอยู่ที่ 4.16% ใน 4Q09 รายได้ค่าธรรมเนียมใน 4Q09 ของ BAY จะมีการเติบโตต่อเนื่องหลังเพิ่มขึ้นมาแล้ว 15% YoY ในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2009 สูงกว่าเป้าทั้งปี 2009 ที่ 10% YoY และเราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมทั้งปี 2009 จะเพิ่มขึ้น 16% YoY โดยผลของการซื้อกิจการของ GEMT จะเริ่มส่งผลบ้างใน 4Q09 และจะเห็นผลเต็มที่ในปี 2010 คาดว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานใน 4Q09 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 บ้างเป็นปกติอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม อัตราค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost % Total Income) ของทั้งปี 2009 จะยังคงเท่ากับในช่วง 9 เดือนแรก ที่ประมาณ 55.7% ใกล้เคียงกับประมาณการทั้งปีที่เราทำไว้ที่ 56% คาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q09 ของ BAY จะอยู่ที่ 1,573 ล้านบาท ลดลง 28% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 86% YoY แต่หากรวมกำไรในไตรมาส 4 กับกำไรในงวด 9 เดือนแรก ของปี 2009 แล้ว คาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 2009 จะอยู่ที่ 7,176 ล้านบาท นอกจากนั้น เราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2010 เพิ่มเป็น 8,653 ล้านบาท จากสินเชื่อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5% YoY และ NIM ที่ 4.12%
ดังนั้น หากให้ PBV อยู่ที่ 1.5 เท่า มูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 23 บาท ดังนั้น เรายังคงแนะนำ “ซื้อลงทุนระยะยาว”
• เป้าหมายโครงสร้างสินเชื่อรายย่อยที่ 50% ในปีนี้ยังต้องใช้เวลาหากไม่มีการซื้อกิจการอื่นเข้ามาอีก
โครงสร้างของสินเชื่อเปลี่ยนไปตามแผน โดยสินเชื่อรายย่อยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 32% ในปี 2008 เป็น 42% ในปี 2009 (รวมการเติบโตแบบ Inorganic) เปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ 50% ซึ่ง BAY ต้องการทำให้ได้ภายในปี 2010 การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรายย่อยส่วนใหญ่เกิดจากการซื้อบริษัทในกลุ่ม GE ที่ทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อย เข้ามาในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างของพอร์ทสินเชื่อที่เปลี่ยนไปจะทำให้ส่วนต่างของดอกเบี้ยของ BAY สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะ Loan Yield ที่สูงของสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ตาม หาก BAY เน้นการเติบโตจากภายในเป็นหลักการเพิ่มสัดส่วนของรายย่อยยังต้องใช้เวลาเนื่องจากการแข่งขันที่สูงในปัจจุบัน ในขณะที่เป้าหมายการซื้อกิจการไม่มากเหมือนในปีก่อน ๆ

Resource: BSEC Research

Daily Direc 2010-01-11

Market Attitude: แกว่งตัวรอปัจจัยใหม่
ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะยังไม่มีอะไรเข้ามากระทบนัก แม้เหตุการณ์ในประเทศจะจับตาที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ตราบใดที่ยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ตลาดหุ้นไทยก็จะยังไม่มีผลกระทบ สำ หรับตลาดหุ้นต่างประเทศ สหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานที่ไม่ดีนัก แต่ตลาดไม่ได้วิตกเท่าไร เพราะยังหวังว่าเฟดจะยังตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไป แม้ตอนนี้มุมมองของเจ้าน้าที่เฟดบางคน ได้เตือนถึงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อเข้ามาแล้ว สำ หรับปัจจัยต่อหุ้นสหรัฐในช่วงนี้ จะเข้าสู่ช่วงการประกาศผลประกอบการของไตรมาส 4 และปี 2009 ซึ่งเรามองว่าตลาดจะมีความผันผวนเพราะตัวเลขของบริษัทใหญ่อาจจะมีทั้งดีและไม่ดีปนกันไป แต่ถ้าส่วนใหญ่ออกมาดี ก็น่าจะช่วยย้ำความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ แต่ถ้าผลออกมาส่วนใหญ่ยังไม่ดี ก็จะถ่วงตลาดซบเซาได้เช่นกัน ตลาดหุ้นไทยยังมีการเคลื่อนไหวแคบๆ รอปัจจัยใหม่เข้ามา ส่วนในทางเทคนิคและกลยุทธ์มองถ้าดัชนีหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันที่ 735 จุด จะเกิดสัญญาณลบระยะสั้น แต่ถ้าไม่หลุดจะกลับเข้าไปเล่น เมื่อผ่านแนวต้าน 742 จุดเท่านั้น
กลยุทธ์การลงทุน
�� ระยะกลาง : ที่ลุ้นตอนผ่าน 720 จุด ยังถือต่อ
�� ระยะสั้น : ไม่รีบเล่นต่อยอด ยกเว้นถ้าผ่าน 742 จุด

Market Viewpoint:
ตลาดหุ้นสหรัฐ – ดาวโจนส์ +11.33 จุด +0.11% ปิดที่ 10,618.19 แม้มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซาเกินคาด แต่ก็มองว่าเฟด จะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่นักลงทุนมองว่า
ตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ น้ำมันดิบ – NYMEX +0.09 เหรียญ +0.11% ปิดที่ 82.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาน้ำ มันดิบเคลื่อนตัวในแดนลบเกือบตลอดช่วงเช้าวันศุกร์หลังจากรัฐบาลสหรัฐรายงานว่า ตำแหน่งงานนอกภาคเกษตรลดลง 85,000
ตำแหน่ง ในเดือนธ.ค. แต่ราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นในช่วงใกล้เที่ยง ในขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมันคัม บาย แชนซ์ในรัฐนิวฟาวด์แลนด์ของแคนาดา
ก.ล.ต. - ย้ำให้ บล.คุมเข้มการออกบทวิเคราะห์หุ้นที่มีการซื้อขายสูง
PTT - ยืนยันขณะนี้กลุ่มปตท.ยังไม่ได้เจรจาเพื่อขอชะลอชำระหนี้ใน
โครงการที่ถูกระงับการดำเนินกิจกรรมชั่วคราวในพื้นที่มาบตาพุด
IRPC - คาดยอดขายปี 53 โตราว 15% จากปีก่อนที่มีราว 1.8 แสนล้าน
บาท ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะสูงขึ้น
TMB - คาดกำไรสุทธิปี 52 จะดีกว่าเป้าหมาย ทำให้ธนาคารมีความสามารถ
ในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง และพร้อมจะจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งหลัง
ของปี 53
THCOM - คาดว่ารายได้จากธุรกิจไอพีสตาร์ที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ ตามการ
ขยายตลาดจะช่วยหนุนให้บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิในปีนี้

Market News
จนท.เฟดเห็นต่างกรณีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในสหรัฐ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวเน้นย้ำในจุดยืนที่แตกต่างกันในเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ โดยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งกล่าวเตือนว่า การถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างล่าช้าเกินไปอาจก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่เจ้าหน้าที่อีกรายไม่กังวลกับความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว นายโธมัส โฮนิก ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้กล่าวว่า เฟดควรดำเนินการอย่างรวดเร็วในการสกัดกั้นภาวะเงินเฟ้อในระยะยาว และควรสกัดกั้นปัจจัยที่จะก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ในอนาคต "ในขณะที่มีความไม่แน่นอนเป็นอย่างมากในเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจ หลักฐานส่วนใหญ่ก็บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นซึ่งภายใต้ภาวะแวดล้อมนี้ ผมก็เชื่อว่าควรจะมีการดำเนินการอย่างรวดเร็วในการทำให้นโยบายกลับเข้าสู่ภาวะที่มีการชั่งน้ำหนักอย่างสมดุลมากกว่านี้ระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจและการเงินในระยะสั้นและระยะยาว" ทางด้านนายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวที่นครเซี่ยงไฮ้ในจีนว่า อัตราการว่างงานในสหรัฐจะเริ่มต้นลดลงในเร็วๆนี้ และเขาไม่แสดงความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐในระยะใกล้โดยเขากล่าวว่า การที่เฟดอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ได้ก่อให้เกิดความกังวลด้านเงินเฟ้อ ทั้งนายโฮนิกและนายบุลลาร์ดต่างก็มีสิทธิโหวตในคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ในปีนี้ (Reuters)

ก.ล.ต.ย้ำให้ บล.คุมเข้มการออกบทวิเคราะห์หุ้นที่มีการซื้อขายสูง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ย้ำให้บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทุกแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้โปรโมชั่นไม่คิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์(คอมมิชชั่น)ในส่วนการลงทุนที่สูงกว่า 20 ล้านบาท คุมเข้มเรื่องการออกบทวิเคราะห์หุ้นให้แก่นักลงทุนสำหรับหุ้นที่มีการซื้อขายในอันดับต้นๆ ของบล.นั้นๆ โดย ก.ล.ต.จะแจ้งเรื่องดังกล่าวในการประชุมสมาชิกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ที่จะมีขึ้นในช่วงประมาณเดือนก.พ. หรือ มี.ค.นี้ (Reuters)

PTT เผยกลุ่มยังไม่ได้เจรจาขอชะลอชำระหนี้มาบตาพุด,การเงินแข็งแกร่ง
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.ปตท.(PTT)ยืนยันขณะนี้กลุ่มปตท.ยังไม่ได้เจรจาเพื่อขอชะลอชำระหนี้ในโครงการที่ถูกระงับการดำเนินกิจกรรมชั่วคราวในพื้นที่มาบตาพุด โดยยืนยันฐานะทางการเงินของกลุ่มยังแข็งแกร่ง ปตท.ตั้งสมมติฐานว่าหากโครงการในพื้นที่มาบตาพุดมีความล่าช้าออกไปอีก 1-1 ปีครึ่ง ก็ยังเชื่อว่าจะไม่กระทบมากนัก และยังสามารถรองรับผลกระทบดังกล่าวได้ นายประเสริฐ คาดว่าปี 53 จะมีกำไรสุทธิลดลง 5% จากปี 52 หากทุกโครงการของกลุ่มปตท.ที่ถูกระงับการดำเนินกิจกรรมชั่วคราวในพื้นที่มาบตาพุดตามคำสั่งศาลปกครองกลางต้องล่าช้าออกไป 1 ปี (Reuters)

IRPC คาดปี 53 ยอดขายโต 15% จากราว 1.8 แสนลบ.ปีก่อน
บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีครบวงจรคาดยอดขายปี 53 โตราว 15% จากปีก่อนที่มีราว 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะสูงขึ้น นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวว่า ปีนี้บริษัทเดินกำลังการผลิตปิโตรเคมีที่100% แต่โรงกลั่นน้ำมันเพิ่มมากขึ้นจากที่ระดับ 70% ในปีก่อน เป็น 75% ในปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงในปีนี้ เขากล่าวว่าสถานการณ์ปิโตรเคมีในช่วงระยะสั้นต้องติดตามราคาอย่างใกล้ชิดเนื่องจากสถานการณ์ของโรงแครกเกอร์ในซาอุดิอาระเบียหยุดเดินเครื่องเพราะปัญหาการหาแหล่งน้ำจืดมาใช้ในโรงงาน และยังเกิดอุบัติเหตุในโรงแครกเกอร์ในจีน ทำให้ซัพพลายหายไป ขณะที่โรงแครกเกอร์ของไทย ก็ยังไม่สามารถเดินเครื่องได้อย่างเต็มที่ส่งผลให้เกิดการตึงตัวในตลาด (Reuters)

ความเห็น: ในรายงานวิเคราะห์ของเราก่อนหน้านี้ เราคาดว่ารายได้ของ IRPC ในปี 10 จะอยู่ที่ราว 1.94 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราว 18% และคาดกำไรที่ 8.98 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 7% ทั้งประเมินมูลค่าหุ้นที่ 4.42 บาท อย่างไรก็ตามเราจะมีการปรับประมาณการอีกครั้ง หลังปรับปรุงงบการเงินปี 09 แล้ว ส่วนราคาหุ้นขณะนี้ใกล้เคียงเป้าหมายเรา

TMB มองความสามารถทำกำไรดีขึ้น, คาดสินเชื่อปีนี้โต 8-10%
ธ.ทหารไทย(TMB) คาดกำไรสุทธิปี 52 จะดีกว่าเป้าหมาย ทำให้ธนาคารมีความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง และพร้อมจะจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งหลังของปี 53 ผู้บริหารธนาคารยังคาดว่า สินเชื่อในปีนี้จะกลับมาเติบโต 8-10% ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMB กล่าวกับ"รอยเตอร์"ว่า ช่วง 9 เดือนแรกของปี 52 ธนาคารมีกำไรสุทธิแล้ว 1.5 พันล้านบาท ซึ่งก็เหลือเพียง 300 ล้านบาท จึงมีโอกาสที่กำไรสุทธิของปี 52 จะเกินเป้า 1.8 พันล้านบาทได้ นายบุญทักษ์ ยังกล่าวว่า ธนาคารพร้อมจะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับครึ่งหลังปี 53 หลังธนาคารมีกำไรสุทธิ และล้างขาดทุนสะสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ธนาคารจะแปลงหุ้นบุริมสิทธิที่กระทรวงการคลังถืออยู่ ให้กลายเป็นหุ้นสามัญที่จะครบกำหนดในเดือนพ.ค.ปีนี้ (Reuters)

THCOM มองรายได้ไอพีสตาร์หนุนพลิกมีกำไรปี 53, สรุปไทยคม 6 สิ้นปี
บมจ.ไทยคม(THCOM) คาดว่ารายได้จากธุรกิจไอพีสตาร์ที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ ตามการขยายตลาดจะช่วยหนุนให้บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิในปีนี้หลังมองว่าจะขาดทุนสุทธิเล็กน้อยในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมทั้งคาดว่าจะสรุปรูปแบบการทำดาวเทียม "ไทยคม 6" ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงใหม่กับหน่วยงานภาครัฐบาลในสิ้นปีนี้ ขณะเดียวกัน ยังได้เจรจากับพันธมิตรจีนเพื่อร่วมลงทุนในดาวเทียมดวงดังกล่าวด้วย นายอารักษ์ชลธาร์นนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THCOM กล่าวว่า ปี 53 จะเริ่มรับรู้รายได้จากจีน และอินเดีย แต่รายได้หลักยังคงมาจากออสเตรเลีย เนื่องจากทั้งจีนและอินเดียแม้เป็นตลาดที่มีอนาคต แต่ยังไม่สามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก เพราะการขยายธุรกิจใน 2 ประเทศดังกล่าวยังติดระบบราชการแต่
มองว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต บริษัทยังเจรจากับลูกค้ารายใหม่และได้บรรลุข้อตกลงที่จะซื้อแบนด์วิธจากไอพีสตาร์ในเดือนมี.ค.เป็นต้นไป ทำให้บริษัทขายแบนด์วิธได้เพิ่มขึ้นจนทำให้สามารถเข้าสู่เป้าหมายที่วางไว้ที่ 30% ในสิ้นปีนี้ จากราว 10% ในปีที่แล้ว (Reuters)

QH คาดปี 53 กำไรสุทธิดีกว่าปีก่อน, เล็งออกหุ้นกู้ใช้รีไฟแนนซ์
บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์(QH) คาดว่าปี 53 จะมีกำไรสุทธิดีกว่าปี 52 ตามรายได้ที่เติบโต โดยไตรมาส 1/53 จะทำกำไรสุทธิได้สูงสุดเป็นรายไตรมาสในรอบ 5 ปี หลังจะเร่งให้มีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมาก บริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้ไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาทในปีนี้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน "กำไรปี 52 น่าจะเติบโตเล็กน้อย ไม่มากเท่าไหร่ ส่วนรายได้น่าจะเติบโต 5-6% แต่ปี 53 กำไรจะมี growth แน่นอน หากมีการต่อมาตรการภาษี คาดว่าจะ growth มากกว่า 30% แต่หากไม่ต่อ ก็ยังไม่แน่ใจ แต่ปกติ net profit ของเราจะประมาณ 15-16% ของรายได้" นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ QH กล่าว (Reuters)

LPN คาดกำไรปี 52 เติบโตตามรายได้, ปี 53 รายได้โตอีก
บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์(LPN) คาดปี 52 จะมีกำไรสุทธิเติบโตจากปี 51 ในทิศทางเดียวกับรายได้ที่ขยายตัว 14%พร้อมตั้งเป้าหมายปีนี้รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 9.5-9.6 พันล้านบาท ตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น "ปีนี้รายได้น่าจะอยู่ที่ 9,500-9,600 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 13,000 ล้านบาท" นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าว เป้าหมายยอดขายในปีนี้เป็นระดับที่เติบโตมากกว่า 20% จากปีที่ผ่านมาตามแผนพัฒนาโครงการใหม่ 6-8 โครงการ มูลค่ารวม 1.3-1.5 หมื่นล้านบาท ในไตรมาสแรกบริษัทมีแผนเปิด 3 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ บางแค, ลุมพินีเพลส พระราม 9 เฟส 2, ลุมพินี เพลส พหล-รัชดา LPN ยังมีอีก 1 โครงการที่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาซึ่งเป็นการซื้อที่ดินจาก บมจ.เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้(METRO) โดยบริษัทจะนำไปสร้างคอนโดมิเนียมได้ประมาณ 4 อาคาร มูลค่ารวมประมาณ 3 พันล้านบาท โดยจะขายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท/ยูนิต (Reuters)

Resource: BSEC Research

หยิบเงินยิบทอง 2010-01-11

ประเด็นสำคัญวันนี้: การเคลื่อนไหวของ SET INDEX สัปดาห์ก่อน เป็นไปอย่างผัวผวน โดยมีแนวต้านสำคัญ 740 จุดที่ทดสอบระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมาหลายครั้งหลายครา แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเป็นเชิงบวกก็ตาม ขณะที่เม็ดเงินทุนต่างชาติกลับมีแรงขายสุทธิในวันศุกร์ 519 ล้านบาท เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ ซึ่งคาดว่าจะนำไปพักไว้ในตลาดตราสารหนี้ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อีก 767 ล้านบาท

ทิศทางการลงทุนในวันนี้ KimEng คาดว่า SET INDEXจะยังไต่ระดับขึ้นทดสอบ 740 จุด และมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะทะลุผ่านแนวต้านหลักนี้ แม้ว่าตัวลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาจะไม่ดีอย่างที่คาด แต่โอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในกลางปีนี้ย่อมลดลงเช่นกัน นั้นย่อมเป็นการสร้างโอกาสของการทำ US Dollar Carry Trade โดยเฉพาะเก็งกำไรในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทย ที่ฐานเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และโดดเด่นมากขึ้น รวมถึงเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่จะมีการประกาศงบ 4Q52 ของกลุ่มธนาคารในสัปดาห์ถัดไป ตามมาด้วยความคืบหน้าต่อกรณีมาบตาพุดออกมาเป็นระยะๆ ย่อมสร้างภาวะการลงทุนเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน

ทั้งนี้ปัจจัยภายในประเทศที่นักลงทุนส่วนใหญ่จับตาคือ การชุมนุมของกลุ่มนปช.ในวันนี้ KimEng ยังคงเชื่อว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะยังอยู่ในกรอบที่รับได้ และไม่เกิดความบานปลายในท้ายที่สุด ซึ่งน่าจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลงได้เช่นกัน

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng คงคำแนะนำ “ถือพอร์ตการลงทุน” เพื่อรอจังหวะการขายทำกำไรบริเวณแรกที่ 750-755 จุด และระยะถัดไปหากเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหนาแน่นที่ 780 จุด ทั้งนี้แนะนำ “ทยอยสะสม” BAY / PTTEP / TTA

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้ “ถือสถานะ Long S50H10” ข้ามวัน หรือ “ทยอยเปิดสถานะ Long ใน S50H10 บริเวณ 518 +/- จุด Stop Loss เมื่อ S50H10 < 510 ปิด Long

Resource: Kimeng

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

Daily Direc 2010-01-08

Market Attitude: ไร้ปัจจัยหนุน / เคลื่อไหวแคบเหมือนเดิม
ตลาดหุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากปัจจัยไม่มีอะไรเด่นชัดเข้ามากระทบ และตลาดต่างประเทศมีทิศทางการเคลื่อนไหวคล้ายๆ กัน ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ระดับที่ปิดก็ถือว่าสูงสุดในรอบ
15 เดือน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับที่ดีตลาดคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐบ้างหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานผู้ที่ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้นเพียง 1,000 รายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ ด้านราคาน้ำมันดิบ ปรับลงพียงเล็กน้อย หลังจากที่ขึ้นมาต่อเนื่อง โดยความกังวลเรื่องอุปสงค์จากจีนหลังธนาคารกลางจีนสร้างความประหลาดใจด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ของตั๋วเงินคลังระยะ 3 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางจีนพร้อมที่จะดำเนินมาตรการที่แข็งกร้าวกว่านี้ในการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจและต่อต้านภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าวานนี้ สำหรับปัจจัยในประเทศตอนนี้ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมแนวโน้มตลาดหุ้นไทยน่าจะการเคลื่อนไหวแคบๆ เหมือนเดิมเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยหนุน ส่วนในทางเทคนิคและกลยุทธ์มองให้เพิ่มความระมัดระวัง โดยยังไม่รีบเล่น ถ้าจะกลับเข้าไปเล่น เมื่อผ่านแนวต้าน 742 จุดเท่านั้น
กลยุทธ์การลงทุน
�� ระยะกลาง : ที่ลุ้นตอนผ่าน 720 จุด ยังถือต่อ
�� ระยะสั้น : ไม่รีบเล่น ยกเว้นถ้าผ่าน 742 จุด

Market Viewpoint:
ตลาดหุ้นสหรัฐ – ดาวโจนส์ +33.18 จุด +0.31% ปิดที่ 10,606.86 ตอบรับรายงานยอดขายที่แข็งแกร่งของบริษัทค้าปลีกในสหรัฐ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้น จีอี หลังนักวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นในด้านบวก แต่นักลงทุนระมัดระวังในการซื้อขายก่อนการเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้น้ำมันดิบ – NYMEX -0.52 เหรียญ -0.63% ปิดที่ 82.66 ดอลลาร์/บาร์เรลรับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปสงค์ในจีน และจากการทะยานขึ้นของดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ภาวะอากาศหนาวจัดในซีกโลกเหนือช่วยจำกัดช่วงขาลงของราคาน้ำมันสหรัฐ - รายงานประชุมเฟด แสดงความกังวลในเดือนที่แล้วว่าความช่วยเหลือที่น้อยลงจากรัฐบาลอาจส่งผลให้ภาคที่อยู่อาศัยยุติการฟื้นตัวจีน - ธ.กลางจีนส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยหลังเซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการเพิ่มยิลด์บอนด์ / จับตาตลาดอสังหาฯปีนี้หวังเลี่ยงภาวะฟองสบู่
สินเชื่อ - ธปท. คาดสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 53 จะเติบโตจากปีก่อน ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการแข่งขันในการปล่อยสินเชื่อKBANK - คาดสัดส่วน NPL ในไตรมาส 4/52 ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 3 หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น
กลุ่ม PTT - เตรียมเจรจาเจ้าหนี้ ขอชะลอชำระหนี้ในโครงการที่มาบตาพุด
AMATA - เผยปี 52 ยอดขายที่ดินต่ำกว่า 300 ไร่, ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย /ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.10 บาท
INOX - ประธาน"พอสโก"เผยใกล้ได้ข้อสรุปผลเจรจาเทคโอเวอร์"ไทยน๊อคซ์"

Market News
รายงานประชุมเฟดชี้เจ้าหน้าที่กังวลความเสี่ยงในตลาดที่อยู่อาศัย
เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความกังวลในเดือนที่แล้วว่าความช่วยเหลือที่น้อยลงจากรัฐบาลอาจส่งผลให้ภาคที่อยู่อาศัยยุติการฟื้นตัว ขณะที่เจ้าหน้าที่บางคนคาดว่า สหรัฐอาจจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการซื้อสินทรัพย์เพื่อช่วยพยุงภาคที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ในการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.2009 เจ้าหน้าที่เฟดได้ตัดสินใจในช่วงท้ายว่าจะยังคงยึดมั่นกับกำหนดการเดิมที่ให้ยุตินโยบายซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ภายในช่วงสิ้นเดือนมี.ค.2010 หลังจากมาตรการนี้ได้ช่วยกดดันอัตราดอกเบี้ยจำนองให้ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมที่ได้รับการเปิดเผยบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่อาจกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง ถ้าหากการฟื้นตัวของภาคที่อยู่อาศัยหยุดชะงัก เจ้าหน้าที่เฟดแสดงความกังวลอย่างต่อเนื่องเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐด้วย หลังจากสหรัฐผ่านพ้นวิกฤติการเงินที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปี เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับใกล้ 0 % ในเดือนธ.ค. และส่งสัญญาณว่าเฟดตั้งใจจะคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำมากต่อไปเป็นเวลานาน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง (Reuters)

ธ.กลางจีนส่งสัญญาณขึ้นดบ.หลังเซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการเพิ่มยิลด์บอนด์
ธนาคารกลางของจีนสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดวานนี้ด้วยการปรับขึ้นอัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังระยะ 3 เดือนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางเดือนส.ค.2009 ซึ่งเป็นการคุมเข้มสภาพคล่อง หลังจากที่เมื่อวานนี้ทางการจีนระบุว่าจะควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อ ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนจำหน่ายตั๋วเงินคลังระยะ 3 เดือนในวันนี้โดยมีผลตอบแทนอยู่ที่ 1.3684 % เพิ่มขึ้น 0.0404 % จาก 1.3280 % เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับที่ธนาคารกลางตรึงไว้ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาส่งผลให้นักลงทุนเกิดความวิตกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ การดำเนินการดังกล่าวสร้างความวิตกต่อตลาดว่า ธนาคารกลางอาจพร้อมที่จะใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดความร้อนแรงของการขยายตัวของเศรษฐกิจและ
จัดการกับเงินเฟ้อด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แนวโน้มดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมาก ขณะที่นักลงทุนวิตกว่า จุดยืนด้านนโยบายที่เข้มงวดขึ้นจากจีนอาจจะกระทบความต้องการเหล็กกล้า, ทองแดง และทรัพยากรอื่นๆที่จำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Reuters)

ธนาคารกลางจีนประกาศจับตาตลาดอสังหาฯปีนี้หวังเลี่ยงภาวะฟองสบู่
ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า ธนาคารกลางจะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ขณะที่จัดการกับคาดการณ์เงินเฟ้อ "เราควรจะสร้างเสถียรภาพให้กับระดับราคาและจัดการคาดการณ์เงินเฟ้ออย่างมีประสิทธิภาพ" ธนาคารกลางระบุ การให้ความสนใจของธนาคารกลางต่อราคาที่อยู่อาศัย เป็นการแสดงอย่างชัดเจนถึงความตั้งใจของธนาคารกลางในการพิจารณาตลาดสินทรัพย์ในการกำหนดนโยบายการเงิน หลังการประชุมวางแผนสำหรับปี 2010 ธนาคารกลางจีนระบุว่าทางธนาคารกลางจะยังคงดูแลให้มีสินเชื่ออย่างเพียงพอในระบบการเงินและจะสนับสนุนให้ธนาคารต่างๆปล่อยเงินกู้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่บังคับใช้นโยบายสินเชื่ออย่างเข้มงวดในภาคที่อยู่อาศัย (Reuters)

ธปท.คาดสินเชื่อปี 53 โตกว่าปีก่อน หลังศก.ฟื้น-แบงก์แข่งมากขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 53 จะเติบโตจากปีก่อน ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการแข่งขันในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ที่คาดว่าจะมีมากขึ้น นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่า ธปท. กล่าวว่า สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ ที่ยังคงมีอยู่มากพอสมควรและตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ยังคงทรงตัว ยังถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ มีความพร้อมเข้ามาแข่งขันในการปล่อยสินเชื่อด้วย สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในเดือนพ.ย.52 ขยายตัวดีขึ้นแบบเดือนต่อเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยเดือนพ.ย.52 เทียบกับเดือนพ.ย.51 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.8% (Reuters)

พลังงานเล็งใช้เงินกองทุนน้ำมัน ลดผลกระทบราคาน้ำมันแพง,หนุนพลังงานทดแทน
กระทรวงพลังงาน มีแผนใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเข้าไปช่วยลดผลกระทบหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้นมาก หลังล่าสุดราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 83 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว ขณะเดียวกัน ยังคงเดินหน้าหนุนการใช้พลังงานทดแทนต่อเนื่อง (Reuters)

KBANK คาด NPL ใน Q4/52 ลดลงจาก Q3 หลังศก.ฟื้นตัว
ธ.กสิกรไทย(KBANK) คาดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ในไตรมาส 4/52 ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 3 หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นผู้บริหาร KBANK ระบุด้วยว่า ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการในมาบตาพุดประมาณ 5-6 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะไม่มีปัญหา NPL เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่ใช้ในการขยายธุรกิจ และเป็นลูกหนี้ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ หากมีลูกหนี้มาขอเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ธนาคารก็พร้อมจะเจรจา แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากลูกหนี้รายใด (Reuters)

กลุ่ม PTT เตรียมเจรจาเจ้าหนี้ ขอชะลอชำระหนี้ในโครงการที่มาบตาพุด
บมจ.ปตท.(PTT) ระบุกลุ่มปตท.เตรียมเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อชะลอการชำระหนี้สำหรับโครงการในพื้นที่มาบตาพุดหลังบางโครงการในกลุ่มถูกระงับการดำเนินกิจกรรมชั่วคราว ตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ขณะที่ธ.กรุงไทย(KTB) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปล่อยกู้ พร้อมเจรจา หากกลุ่มปตท.ร้องขอ นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์ และการกลั่น (PTTAR) ในกลุ่ม PTT กล่าวว่ากลุ่ม ปตท.จะเจรจากับคู่สัญญาต่างๆทั้งสถาบันการเงินเจ้าหนี้ และผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อหาทางออกร่วมกันเนื่องจากการถูกระงับการดำเนินกิจกรรมชั่วคราวในพื้นที่มาบตาพุดทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างได้ โครงการในกลุ่มของปตท.ที่ถูกระงับการดำเนินกิจกรรมชั่วคราวใน
พื้นที่มาบตาพุดมีทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 1.3 แสนล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนในอัตรา 1:1 อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้ถอด 7 โครงการของกลุ่มปตท.ออกจากการถูกระงับการลงทุนแล้ว ขณะที่กลุ่มปตท.ยังอยู่ระหว่างยื่นคำร้องต่อศาลฯเพื่อขอเดินหน้าบางโครงการที่ไม่มีผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนด้วย (Reuters)

AMATA เผยปี 52 ยอดขายที่ดินต่ำกว่า 300 ไร่, ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย
บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น(AMATA) เผยยอดขายที่ดินในปี 52 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 300 ไร่เล็กน้อย หลังลูกค้ามีปัญหาทางเทคนิคทำให้ต้องเลื่อนเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินมาเป็นปีนี้แทน "ยอดขายเราต่ำกว่าที่ประมาณการไว้เล็กน้อยประมาณ 30-40 ไร่ เนื่องจากลูกค้าขอเลื่อนการเซ็นสัญญามาเป็นปีนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากปัญหาของลูกค้าแต่ยังยืนยันที่จะซื้อแน่นอน" นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ AMATA กล่าว เขา กล่าวย้ำว่า ในปี 52 จะมีกำไรสุทธิลดลงจากปี 51 ตามยอดขายที่ดินที่ลดลงจากปีก่อนหน้าที่มียอดขายที่ดินกว่า 800 ไร่ ขณะนี้บริษัทยังไม่สามารถประเมินยอดขายที่ดินในปีนี้ได้เพราะขึ้นกับความชัดเจนของปัญหาการเมือง และปัญหาการระงับโครงการในมาบตาพุด หากสถานการณ์ไม่เลวร้าย และสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ ก็จะเป็นปีที่ดีของบริษัท แต่หากสถานการณ์ทางการเมืองและมาบตาพุด ยังไม่มีความชัดเจน ก็อาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะหากนักลงทุนญี่ปุ่นขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในไทยก็อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท (Reuters)

INOX - ประธาน"พอสโก"เผยใกล้ได้ข้อสรุปผลเจรจาเทคโอเวอร์"ไทยน๊อคซ์"
นายลี ดอง-ฮี ประธานบริษัทพอสโก ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่อันดับ 4 ของโลก กล่าวกับ"รอยเตอร์"ว่า ทางบริษัทจะสรุปผลการเจรจาควบกิจการกับบมจ.ไทยน๊อคซ์ สแตนเลส (INOX) ในไม่ช้า ขณะที่การเจรจากำลังดำเนินไปด้วยดี (Reuters)

STEEL คาดการรวมกิจการกับ"โซล่า เพาเวอร์"จะแล้วเสร็จพ.ค.-มิ.ย.53
บมจ.สตีล อินเตอร์เทค(STEEL) ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นหลังคาเคลือบขึ้นลอนคุณภาพสูงและเหล็กแปหลังคา คาดการควบรวมกิจการกับบริษัทโซล่า เพาเวอร์จะแล้วเสร็จในเดือนพ.ค.-มิ.ย.53 "กระบวนการทุกอย่างในการควบรวมกับโซล่า เพาเวอร์ จะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนนี้ โดยหุ้นเพิ่มทุน 350 ล้านหุ้น จะขายให้ผู้ถือหุ้นของโซล่าฯ ทั้งหมด" นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ STEEL ในปี 53 บริษัทยังตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% จากปีที่ผ่านมาลดลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัจจุบัน โซล่า เพาเวอร์ มีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 34 แห่งและได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งที่ 1 ซึ่งจะดำเนินงานในเดือนมี.ค.53โดยตั้งอยู่ที่จ.นครราชสีมา มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 6 เมกกะ
วัตต์ ส่งขายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ทั้งจำนวน (Reuters)

AS จะรุกตลาดเกมออนไลน์มากขึ้นในเวียดนาม, มองรายไดัปี 53 ดีขึ้น
บมจ.เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น (AS) ซึ่งทำธุรกิจเกมออนไลน์ มีแผนร่วมทุนกับพันธมิตรในเวียดนามในปีนี้ เพื่อขยายตลาดมากขึ้น ขณะที่มองเห็นโอกาสที่มูลค่าตลาดเกมออนไลน์จะโตมากกว่าในไทยซึ่งขณะนี้อยู่ที่ราว 2 พันล้านบาท ผู้บริหาร AS ยังคาดรายได้ปีนี้ดีกว่าปีก่อน เพราะคาดหวังตลาดในเวียดนามช่วยหนุนรวมถึงยอดขายในสิงคโปร์และมาเลเซียจะกลับมาฟื้นตัว (Reuters)

ธนาคารกสิกรไทยพร้อมช่วย PTT-SCG ยืดหนี้มาบตาพุด และมั่นใจสินเชื่อปีนี้โต 7-9%
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า กรณีที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และบริษัท เอสซีจี เคมีคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG จะดำเนินการหารือกับธนาคารต่างๆ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายหลังได้รับผลกระทบจากการชะลอโครงการในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดนั้น ในขณะนี้ยังไม่ได้มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าว แต่หากบริษัทต้องการเข้ามาปรับโครงสร้างจริง เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา (ข่าวหุ้น)

ความเห็น
คาดว่าธนาคารเจ้าหนี้ทั้งหมดจะช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้ ผลกระทบจากประเด็นมาบตาพุดจะเกิดขึ้นเกือบทั้งกลุ่มธนาคารเนื่องจากโครงการในมาบตาพุดเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีการกู้เงินแบบซินดิเคทโลนกับธนาคารหลายแห่ง ดังนั้น คาดว่าจะมีการร่วมกันปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเจ้าหนี้หลายแห่งเพราะธนาคารเองไม่ต้องการให้มี NPL ขนาดใหญ่เพิ่มเข้ามาอยู่แล้ว และหากการปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จลง จะทำให้หนึ้ส่วนนี้ไม่มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็น NPL ในอนาคต

คุณภาพลูกหนี้ยังไม่น่ากังวลมาก แต่อาจมีผลต่อ Loan Yield ของกลุ่มธนาคารบ้างหากปรับดอกเบี้ยลงมา การเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ก่อนของกลุ่ม PTT และ SCG จะทำให้ยังไม่ต้องจัดชั้นลูกหนี้ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงต่อการจัดชั้นเชิงคุณภาพบ้างตามที่เคยให้ความเห็นในปีก่อนก็ตาม การปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจะทำให้กลุ่มลูกหนี้มีเวลาแก้ปัญหา หรือหาทางออกในเรื่องความขัดแย้งกับกม.สิ่งแวดล้อม ผลกระทบด้านลบ
ที่จะเกิดต่อธนาคารอาจมีบ้างหากกลุ่มลูกหนี้ขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงสั้นๆ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย (Loan Yield) จากลูกหนี้กลุ่มนี้ลดลงในปี 2010

ความเสี่ยงทางการเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เรามองว่าประเด็นมาบตาพุดยังไม่น่ากังวลมาก แต่อาจมีผลลบต่อ Sentiment ในการซื้อขายบ้าง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางการเมืองอาจมีผลอยู่เพราะความชัดเจนเรื่องนี้ตอ้ งอาศัยความต่อเนื่องทางการเมืองช่วยแก้ปัญหาด้วย ดังนั้น เรายังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารเป็น “Neutral” ไว้ก่อนเหมือนเดิม จนกว่าจะมีสัญญาณบวกจากปัจจัยนี้

Resource: BSEC Research

หยิบเงินยิบทอง 2010-01-08

ประเด็นสำคัญวันนี้: SET INDEX วานนี้ถือว่าปรับตัวลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้แนวต้าน 740 จุดยังคงเป็นจุดหลักด้านจิตวิทยา และทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ต้องการถือหุ้นข้ามวัน แต่นักลงทุนต่างชาติกลับสะสมหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 และในอัตราเร่งขึ้นเป็น 1,083 ล้านบาท แม้ว่าจะกลับมา Short สุทธิใน Futures จำนวน 173 สัญญา แต่มูลค่าสุทธิกลับเป็น +8.19 ล้านบาท จึงไม่สามารถสรุปมุมมองของนักลงทุนต่างชาติผ่านตลาด Futures ขณะที่นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทย แต่ด้วยมูลค่าเพียง 129 ล้านบาท สะท้อนได้ว่านักลงทุนต่างชาติเลือกลงทุนในตลาดทุนไทยมากกว่าตลาดตราสารหนี้

สำหรับมุมมอง SET INDEX วันนี้ เชื่อว่า SET INDEX จะฟื้นตัวขึ้นทดสอบ 740 จุดอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของสัปดาห์ และปัจจัยเสี่ยงคืนนี้คือ อัตราการว่างงานเดือนธ.ค.ของสหรัฐฯ แต่เม็ดเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องและหนาแน่น การเริ่มประมาณการงบการเงิน 4Q52 ของกลุ่มธนาคาร น่าจะสร้างจุดสนใจของการลงทุนได้ดีขึ้น

และทิศทางสัปดาห์หน้าเชื่อว่า SET INDEX จะขยับขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์นี้ แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจทรงตัวมากขึ้น เพราะมีการประมูลพันธบัตรวงเงิน US$8.4 หมื่นล้าน ทำให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัว แต่ความชัดเจนต่อกรณีมอนทาราของ PTTEP ในปลายสัปดาห์หน้า พร้อมกับต้องติดตามกรณี 3 โครงการหลักในมาบตาพุดที่ PTT ยื่นหนังสือต่อศาลปกครองฯ วันที่ 28 ธ.ค. และแรงเก็งกำไรต่องบ 4Q52 ในกลุ่มธนาคารจะเป็นปัจจัยหนุน SET INDEX

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng ยืนยัน “ถือพอร์ตการลงทุน” เพื่อรอจังหวะการขายทำกำไรบริเวณแรกที่ 750-755 จุด และระยะถัดไปต่อกรณีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหนาแน่นที่ 780 จุดได้เช่นกัน ทั้งนี้แนะนำ “ทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว” TTA / BAY

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้ “ถือสถานะ Long S50H10” ข้ามสัปดาห์ หรือ “ทยอยเปิดสถานะ Long ใน S50H10 บริเวณ 515 +/- จุด Stop Loss เมื่อ S50H10 < 510 ปิด Long

Resource: Kimeng

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

Hot Short KBank 20010-01-07

KBANK
สินเชื่อช่วยหนุนกำไรใน 4Q09 และกำไรในปี 2010 จะได้รับผลเต็มที่จาก MTFH

คาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q09 ของ KBANK จะลดลงบ้างจากใน 3Q09 มาอยู่ที่ 3,417 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 8% QoQ แต่ยังเพิ่มขึ้นถึง 22% YoY หลังสินเชื่อระยะสั้นทำให้สินเชื่อรวมทั้งปีกลับมาเติบโตประมาณ 3% YTD โดยมีสัญญาณจากสินเชื่อในงบเดี่ยวที่เพิ่มขึ้นมากถึง 2% MoM ในเดือน พ.ย. เพียงเดือนเดียว อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของสินเชื่อระยะสั้นอย่างเร็วในปลายปีมีส่วนดึงอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของสินเชื่อลดลง และทำให้ NIM ใน 4Q09 ของธนาคารลดลงมาประมาณ 6 bps QoQ มาอยู่ที่ 3.61% และคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2009 ของธนาคารจะอยู่ที่ 14,401 ล้านบาท หลังกำไรสุทธิในงวด 9 เดือน ของปี 2009 อยู่ที่ 11,224 ล้านบาท

เราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2010 ของ KBANK มาอยู่ที่ 16,048 ล้านบาท แม้ว่าการซื้อ MTFH และโครงการ K-Transformation มีส่วนทำให้อัตราส่วนของค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 55% แต่คาดว่า MTFH จะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมในงบรวมเพิ่มขึ้นมาก โดยเราคาดว่า Synergy ที่กำลังเกิดขึ้นจากการทำ Cross-Selling กำลังหนุนรายได้ค่าธรรมเนียมของKBANK ให้เติบโตสูงมากอย่างมีนัยในระยะยาว โดยใช้ฐานลูกค้ารายย่อย และเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ ในการขายประกัน (Bancassurance Business) ในขณะที่ ระบบ IT ที่กำลังเสร็จลงภายใน2 ปี จะมีส่วนเสริมรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของธนาคารในระยะยาว แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้าน IT จะสูงขึ้นมากในปีนี้ก็ตาม ดังนั้น เราแนะนำ “ซื้อลงทุนระยะยาว” โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานของธนาคารไว้ที่97 บาท จาก PBV ที่ 1.7 เท่าอย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมืองอาจมีผลต่อการซื้อขายหุ้น KBANK ในระยะสั้นได้ นอกจากนั้น เรามองว่าผลประกอบการใน 4Q09 เป็นที่รับรู้ของนักลงทุนแล้ว ดังนั้น เราไม่มีมุมมองเชิงบวกในระยะสั้น

คาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q09 ของ KBANK จะลดลงจาก 3Q09 แต่ยังเพิ่มขึ้นสูงเมื่อเทียบ
กับในช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังสินเชื่อพลิกกลับใน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2009
KBANK ยังคงเป้าสินเชื่อทั้งปี 2009 ไว้ที่ 3.4% ซึ่งอยู่ภายในกรอบเป้าหมายล่าสุดที่ตั้งไว้ที่ 2-4%หลังคาดว่าสินเชื่อระยะสั้นจะมีการเติบโตสูงมากในไตรมาสสุดท้ายของปี 2009 โดยสินเชื่อประเภท Corporate –8%, SME +4.7% และรายย่อย +12.8% โดยมีสัญญาณยืนยันจากการเติบโตของสินเชื่อในเดือน ต.ค. และ พ.ย. 2009 (จากงบเดี่ยว) ที่ 0.36% MoM และ 2.70% MoM ตามลำดับ ทำให้การเติบโตของสินเชื่อ 11 เดือน (จากงบเดี่ยว) ตั้งแต่ต้นปีจนถึง พ.ย. อยู่ที่
0.60% YTD คุณภาพของสินทรัพย์ของ KBANK ในปี 2009 ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่น้อยกว่า 4% หลัง NPL Ratio ใน 3Q09 ยังยืนอยู่ที่ 3.7% และธนาคารไม่มี NPL ที่มีนัยใน 4Q09 อย่างไรก็ตาม ค่าสำรองหนี้จะเพิ่มขึ้นบ้างตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อใหม่ในปี 2010 เราประมาณการ NIM ใน 4Q09 ของ KBANK ไว้ที่ 3.61% ลดลงเล็กน้อยจาก 3.67% ใน 3Q09 เนื่องจากฐานสินเชื่อที่กระโดดขึ้นมาเร็วมากใน 4Q09 โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อระยะสั้น ทำให้เราปรับประมาณการ NIM ทั้งปี 2009 ของธนาคารลงมาอยู่ที่ 3.71% รายได้ค่าธรรมเนียมของ KBANK จะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ ดังนั้น คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมใน 4Q09 ของ KBANK จะเพิ่มขึ้น 15% YoY หรือ 0.35% QoQ ซึ่งไม่ต่างจากใน 3Q09 มาก คาดว่าอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวม (Cost % Total Income) ใน 4Q09 ของ BANK
จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 60.41% เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นตามปกติในไตรมาสสุดท้ายของปีอยู่แล้วผลกระทบจากการซื้อหุ้น MTFH ใน 4Q09 จะไม่มีนัยมากต่องบรวมของ KBANK เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายของ MTFH เข้ามาเพียง 1 เดือน เท่านั้น ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมยังเพิ่มขึ้นไม่มาก นอกจากนั้น ค่าความนิยม (Goodwill) ที่เกิดจากการซื้อ MTFH สูงกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีจะไม่ มากหลังการทำ Due Diligent จบลง ดังนั้น การซื้อ MTFH จึงยังไม่มีผลต่อผลประกอบการของ KBANK ในปี 2009 อย่างไรก็ตาม คาดว่างบรวมในปี 2010 ของ KBANK จะได้รับผลกระทบโดยมีรายได้เบี้ยประกัน และรายได้จากการรับประกัน เพิ่มขึ้นในงบรวม ทำให้ธนาคารคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมในปี 2010 จะเพิ่มขึ้นถึง 25% YoY
โดยสรุปแล้ว เรามองว่า NIM ใน 4Q09 ที่หดตัวลงจากในไตรมาส 3 จะมีผลทำให้กำไรสุทธิใน4Q09 ของ KBANK ลดลง 8% QoQ แต่ยังเพิ่มขึ้น 22% YoY โดยมองว่าปัจจัยหลักที่ทำให้กำไร
สุทธิใน 4Q09 ของธนาคารยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนจะมาจากการขยายตัว
ของสินเชื่อในช่วงปลายปี และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย

ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2010 เพิ่มขึ้นบ้างจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่จะเพิ่มขึ้น
แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายของโครงการ K-Transformation และจาก MTFH ซึ่งจะทำให้ Cost %
Total Income สูงขึ้น
KBANK ยังคงเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปี 2010 ที่ 7-9%, NIM อยู่ที่ 3.7-3.8% แต่เราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารจะเพิ่มขึ้นมากหลังการซื้อ MTFH โดยมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจประกัน ซึ่งจะทำให้เกิด Synergy ตามมาอีกหลายด้าน โดยธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมในปี 2010 ไว้ที่ 25% YoY แต่การรวมงบของ MTFH เข้ามาจะมีส่วนทำให้ Cost % Total Income ของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 55% ซึ่งธนาคารคาดว่า Cost % Total Income ของธนาคารจะสูงสุดในปีนี้ก่อนจะลดลงสู่ระดับปกติในปี 2011 และ 2012 ซึ่งจะเป็นปีที่มีการเริ่มใช้ระบบ IT ใหม่ของธนาคาร โดยระบบดังกล่าวจะสอดคล้องกับกลยุทธ์ Customer Centric ซึ่งจะสามารถช่วยให้ธนาคารสามารถออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และในช่วงที่ผ่านมา ระบบดังกล่าวได้มี
ส่วนช่วยให้รายได้ของธนาคารเพิ่มขึ้นบ้างแล้วนอกจากนั้น คาดว่าค่าใช้จ่ายจากโครงการ K-Transformation (KT) ซึ่งเป็นการปรับปรุงระบบ ITของธนาคารจะมีการรับรู้มากในปี 2010 หลังจากมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ตั้งแต่ปี 2007 ไป 40% แล้ว ดังนั้น เราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2010 ของ KBANK จะอยู่ที่ 16,048 ล้านบาท และประเมินมูลค่าพื้นฐานของธนาคารไว้ที่ 97 บาท จาก PBV ที่ 1.7 เท่า และมี Dividend Yield เท่ากับ 2.80% (จากราคาปิดที่ 85.75 บาท)

Source: BSEC Research

หยิบเงินยิบทอง 2010-01-07

ประเด็นสำคัญวันนี้: และแล้วการซื้อขายตลาดหุ้นไทยในวันที่ 3 ของ ปีเสือเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ด้วยแรงซื้อในหุ้นหลักของกลุ่มธนาคาร และกลุ่มพลังงาน น่าจะเป็นการเริ่มแรงเก็งกำไรในงบการเงิน และเงินปันผล

และอีกปัจจัยที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ตามมาด้วยการมีสถานะ Long สุทธิ ใน Futures เชื่อว่าเป็นการ Long สุทธิใน SET50 Index Futures สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ทั้งนี้ KimEng ตั้ง ข้อสังเกตุว่า อาจมีการโยกเงินจากตลาดตราสารหนี้ เข้าตลาดทุนบางส่วน เพราะวานนี้นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 292 ล้านบาท ดังนั้นนักลงทุนยังมีความจำเป็นต้องต้องติดตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนส่วนนี้ต่อเนื่องอีกระยะ 2-3 วันข้างหน้า เพราะจะเป็นตัวชี้วัดการไต่ระดับของ SET INDEX ในรอบนี้ หากค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง น่าจะเป็นทำให้เกิด Hot Money เข้าเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นอย่างตลาดหุ้นไทย ที่ได้ลดน้ำหนักการลงทุนไปก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน

แน่นอนว่า KimEng ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะ 1-2 เดือนจากนี้ไป เพื่อเก็งกำไรต่องบการเงิน 4Q52 และเงินปันผลงวด 2H52 หรือปี 2552 โดยมี Downside Risk ที่จำกัด

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng ยืนยัน “ถือพอร์ตการลงทุน” เพื่อรอจังหวะการขายทำกำไรบริเวณแรกที่ 750-755 จุด และระยะถัดไปต่อกรณีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหนาแน่นที่ 780 จุดได้เช่นกัน ทั้งนี้แนะนำ “ทยอยสะสม” PTTAR / KBANK / BAY

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้ “ถือสถานะ Long S50H10” ข้ามวัน หรือ “ทยอยเปิดสถานะ Long ใน S50H10 บริเวณ 515 +/- จุด Stop Loss เมื่อ S50H10 < lang="TH">ปิด Long

Source: Kimeng

Daily Direc 2010-01-07

Market Attitude: เคลื่อนไหวแคบเหมือนเดิม
ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยไม่มีปัจจัยอะไรเข้ามา
กระทบนัก ตั้งตลาดต่างประเทศก็เคลื่อนไหวลักษณะเดียวกัน และเมื่อคืน
ตลาดหุ้นสหรัฐแทบไม่เปลี่ยนแปลง ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาไม่ได้ช่วย
ตลาดนัก ขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้
ราคาน้ำมันดิบ ก็ยังไม่หยุดความร้อนแรง บวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 จากปัจจัย
หลักเดิมๆ ในช่วงนี้คืออากาศหนาวเย็น และเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง แม้ตัวเลข
สต็อกน้ำมันจะออกมาผิดคาด สำหรับปัจจัยในประเทศช่วงนี้ ก็ไม่ได้มีสีสัน
อะไรนัก วนเวียนอยู่กับเรื่องการเมืองที่น่าเบื่อเหมือนเดิม
สำ หรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะสั้น การเคลื่อนไหวก็น่าจะ
เหมือนเดิม คือแกว่งตัวแคบๆ ตลาดหุ้นขึ้นสลับการขายทำกำไร เนื่องจาก
บรรดานักลงทุนที่ได้เปรียบในเรื่องต้นทุนค่าคอมมิสชั่น จะตัดสินใจเข้าออก
ได้ง่ายขึ้น ในทางเทคนิคและกลยุทธ์ยังมองเหมือนเดิม จะกลับเข้าไปเล่น
เมื่อผ่านแนวต้าน 737-742
กลยุทธ์การลงทุน
􀂾 ระยะกลาง : ที่ลุ้นตอนผ่าน 720 จุด ยังถือต่อ
􀂾 ระยะสั้น : ลงไม่เล่น แต่ถ้าผ่าน 737-742 จุด ลุ้นเล่นต่อยอด

Market Viewpoint:
ตลาดหุ้นสหรัฐ – ดาวโจนส์ +1.66 จุด +0.02% ปิดที่ 10,572.02 ISM
เปิดเผยดัชนีภาคบริการเพิ่มขึ้นสู่ 50.1 ในเดือนธ.ค. ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัว
เล็กน้อย แต่ต่ำกว่าที่คาด ADP Employer Services เปิดเผยรายงานการจ้าง
งานซึ่งบ่งชี้ว่าการปรับลดการจ้างงานในภาคเอกชนได้ชะลอตัวลงในเดือน
ธ.ค. ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาค
เกษตรในวันศุกร์นี้
น้ำมันดิบ – NYMEX +1.41 เหรียญ +1.72% ปิดที่ 83.18 ดอลลาร์/
บาร์เรล ขึ้นเป็นวันที่ 10 ติดต่อกัน ผลจากดอลลาร์ร่วงลงและภาวะอากาศ
หนาวเย็น ถึงแม้สำนักงาน EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นสูงเกินคาด
ในสัปดาห์ที่แล้ว
การว่างงาน - กระทรวงแรงงาน เผยสถานการณ์การว่างงานของไทยมี
แนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องโดยคาดว่าอัตราการว่างงานเดือนธ.ค.52 จะลดเหลือ
1.1% หรือประมาณ 4 แสนคนจากที่เคยสูงสุด 2.1% ในเดือนเม.ย.ปี
เดียวกัน
รถไฟฟ้า - กระทรวงคมนาคม คาด จะเปิดประมูลการบริหารการเดิน
รถไฟฟ้าสายสีม่วงได้ในปี 54
CIMBT - เผย"ขณะนี้"ไม่มีแผนนำหุ้นออกจาก ตลท. / มองสินเชื่อปีนี้โต
12%
DTAC - ตั้งเป้าหมายลูกค้าใหม่สุทธิในปี 53 ที่ระดับ 8 แสนราย ลดลงจาก
ราว 1 ล้านรายในปี 52 หลังตลาดใกล้อิ่มตัว ขณะที่เตรียมรุกเจาะกลุ่มลูกค้า
รากหญ้ามากขึ้น
A - คาดว่าปี 53 จะมีกำไรสุทธิเติบโต 15-20% จากราว 400 ล้านบาทในปี
ก่อน ตามรายได้จากยอดขายที่รอรับรู้การโอนคอนโดมิเนียม
TYONG - ลั่นปีนี้กำไรโตเท่าตัว รุกบ้านเดี่ยว-ขายที่ดินเปล่า

Market News
จับตาปี 2010 เจ้าหน้าที่ยกเครื่องกฎระเบียบพลิกโฉมภาคการเงินทั่วโลก
ถึงแม้กฎระเบียบการเงินโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยนับตั้งแต่เกิดวิกฤติภาคธนาคารในปี 2008 แต่กฎระเบียบดังกล่าวก็กำลังจะ
ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีกไม่ช้านี้ ทั้งนี้ คาดกันว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐและสหภาพยุโรป (อียู) จะกำหนดรูปแบบขั้นสุดท้ายของโครงสร้าง
กฎระเบียบใหม่ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินงานของธนาคารและตลาดทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก นักวิเคราะห์นโยบายกล่าวว่า จะ
มีการวางข้อจำกัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในด้านสัดส่วนการใช้เงินกู้ในการดำเนินงานและสัดส่วนการดำรงทุนสำรองซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรในภาค
ธนาคาร นอกจากนี้ ตลาด OTC สำหรับตราสารอนุพันธ์ที่ไม่เคยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลในช่วงก่อนหน้านี้ก็จำเป็นต้องเข้ามาอยู่ภายใต้กฎระเบียบใหม่
ด้วยเช่นกัน สถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้จะเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ในด้านการจัดทำโครงการสินเชื่อจำนองและการแปลงสินเชื่อจำนองเป็นหลักทรัพย์
รวมทั้งในการแปลงตราสารหนี้อื่นๆเป็นหลักทรัพย์ด้วย ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ก็จะเผชิญกับการเพ่งเล็งมากยิ่งขึ้น (Reuters)

รัฐบาลคาดอัตราว่างงาน ธ.ค.52 ลดเหลือ 1.1% จากสูงสุด 2.1% ในเม.ย.
กระทรวงแรงงาน เผยสถานการณ์การว่างงานของไทยมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องโดยคาดว่าอัตราการว่างงานเดือนธ.ค.52 จะลดเหลือ 1.1% หรือ
ประมาณ 4 แสนคนจากที่เคยสูงสุด 2.1% ในเดือนเม.ย.ปีเดียวกัน กระทรวงแรงงาน ได้รายงานต่อที่ประชุมครม.เศรษฐกิจ ว่าข้อมูลที่แสดงถึง
สถานการณ์การเลิกจ้างที่ดีขึ้น ได้แก่ จำนวนผู้ประกันตนที่มาขึ้นทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ลดลงเหลือ 40,638 คน ในเดือนพ.ย.52
จากที่สูงสุด 101,939 คน ในเดือนก.พ.52 ขณะที่สถานประกอบการ แจ้งความต้องการแรงงานขณะนี้ ประมาณ 1.2 แสนตำแหน่ง ซึ่งความต้องการ
แรงงานสูงขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว สำหรับกรณีมาบตาพุด หากมีการระงับทั้ง 65 โครงการ คาดว่าจะมีลูกจ้างได้รับผลกระทบ
ประมาณ 4 หมื่นคน แต่หากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ จะมีการรับลูกจ้างเข้าทำงานประมาณ 1.5 หมื่นตำแหน่ง (Reuters)

คมนาคม คาดเปิดประมูลบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงได้ในปี 54
กระทรวงคมนาคม คาด จะเปิดประมูลการบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงได้ในปี 54 หลังต้องใช้เวลาราว 1 ปี เพื่อจัดทำร่างประกวดเชิญ
ชวนเอกชนเข้าร่วมประมูล(TOR) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง เส้นทางบางใหญ่-บางซื่อ เป็นรถไฟฟ้าแบบยกระดับระยะทาง 23 กิโลเมตร มีสถานีรับส่ง
ผู้โดยสาร 16 สถานี มูลค่าโครงการราว 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวได้มีการประมูลงานโยธาไปแล้ว นายวัชระ กรรณิกา รองโฆษก
รัฐบาล กล่าวว่า ครม.เศรษฐกิจ ได้เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในรูปแบบ PPP Gross
Cost ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาครัฐจ้างเอกชนในการดำเนินการ ทั้งนี้ เอกชนจะเป็นผู้ลงทุนในระบบอาณัติสัญญาณ ระบบจัดเก็บค่าโดยสารตัวรถไฟฟ้า
และบริการเดินรถไฟฟ้า รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง ขณะที่ภาครัฐจะลงทุนค่างานโยธาทั้งหมด และรัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้ค่าโดยสารรวมถึง
รายได้เชิงพาณิชย์ และจะจ่ายคืนให้เอกชน ในลักษณะค่าจ้างบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง (Reuters)

CIMBT เผย"ขณะนี้"ไม่มีแผนนำหุ้นออกจาก ตลท.,มองสินเชื่อปีนี้โต 12%
ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย(CIMBT) ซึ่งถือหุ้น 94% โดยซีไอเอ็มบี แบงก์ ของมาเลเซียเผย จนถึงขณะนี้ยังไม่มีแผนขอเพิกถอนหุ้นออกจากตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)แม้บริษัทแม่ในมาเลเซีย มีแผนเข้ามาจดทะเบียนใน ตลท. CIMBT หรือเดิมคือ ธ.ไทยธนาคาร(BT) ปัจจุบันมี ซีไอเอ็ม
บี แบงก์ ของมาเลเซีย ถือหุ้นอยู่ 94% โดย CIMB เข้าซื้อหุ้นของ BT จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และผู้ถือหุ้นรายย่อยเมื่อ
ปลายปี 51 ขณะที่ CIMB Group Holdings Berhad ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Bursa Malaysia ได้ประกาศไว้เมื่อเดือนพ.ย.ปีก่อนว่า
จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลท.เพิ่มเติม โดยเป็นการจดทะเบียนในลักษณะ Dual listing การจดทะเบียนในตลท. ครั้งนี้ กลุ่ม CIMB มีแผนเสนอขายหุ้น
ให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 35 ล้านหุ้น และคาดว่าการเข้าจดทะเบียนในตลท. จะเสร็จสมบูรณ์ในครึ่งแรกของปี 53 (Reuters)

DTAC ตั้งเป้าลูกค้าใหม่สุทธิปี 53 ที่ 8 แสนราย ลดลงจากปี 52
บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ตั้งเป้าหมายลูกค้าใหม่สุทธิในปี 53 ที่ระดับ 8 แสนราย ลดลงจากราว 1 ล้านรายในปี 52 หลัง
ตลาดใกล้อิ่มตัว ขณะที่เตรียมรุกเจาะกลุ่มลูกค้ารากหญ้ามากขึ้น "เนื่องจากจำนวนประชากรต่อมือถือ อยู่ที่ระดับ 95% ซึ่งถือว่าเต็มมากแล้วทำให้ยอด
ของลูกค้าใหม่จะลงลึกเป็นกลุ่มรากหญ้ามากขึ้นซึ่งถือว่าปีนี้จึงต้องออกแคมเปญแบบเจาะจงมากขึ้น" นายเกษชญง สกาวรัตนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส
กลุ่มธุรกิจพรีเพด ของ DTAC กล่าว จำนวนลูกค้าใหม่สุทธิที่เพิ่มขึ้นในปีที่แล้วส่งผลให้ฐานลูกค้าของบริษัทอยู่ที่ราว 21 ล้านราย นายเกษชญง คาดว่าปี
นี้การแข่งขันในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่จะรุนแรงทำให้บริษัทตั้งงบการตลาดไว้ที่ระดับ 700-750 ล้านบาท โดยจะออกโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าเดิม และออก
แคมเปญพรีเพดอย่างน้อย 5 แคมเปญ เพื่อหวังให้บรรลุเป้าหมายลูกค้าใหม่สุทธิในปีนี้ที่ 8 แสนราย ซึ่งน่าจะเป็นจำนวนลูกค้าใหม่สุทธิ ในระดับเดียวกัน
กับผู้ประกอบการรายอื่นด้วย (Reuters)

อารียาฯ คาดปี 53 กำไรสุทธิเติบโต 15-20%, คอนโดฯหนุน
บมจ.อารียา พรอพเพอร์ตี้(A) คาดว่าปี 53 จะมีกำไรสุทธิเติบโต 15-20% จากราว 400 ล้านบาทในปีก่อน ตามรายได้ที่ขยายตัวจากยอดขายที่
รอรับรู้การโอนคอนโดมิเนียมซึ่งมีความสามารถทำกำไรสูง พร้อมมีแผนเปิด 4-5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 5-6 พันล้านบาท นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี
ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ อารียาฯ คาดว่าปี 53 จะมีรายได้รวมเติบโต 15-20% จากกว่า 3 พันล้านบาทในปีที่แล้ว ตามการรับรู้ยอดขายที่
รอการโอน และยอดขายใหม่ การรับรู้ยอดขายรอโอนในปีนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการคอนโดมิเนียม"เอ สเปซ" และโครงการทาวน์เฮ้าส์"เดอะคัลเลอร์"
เป็นหลัก ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว บริษัทยังมีแผนเปิด 4-5 โครงการใหม่ในปีนี้ มีมูลค่ารวมกว่า 5-6 พันล้านบาท แบ่งเป็น โครงการ
คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ มูลค่า 1.8 พันล้านบาท เพื่อขยายตลาดจับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง ที่ระดับราคาขาย 8-9 หมื่นบาท/ตารางเมตร จากเดิมเป็น
กลุ่มลูกค้าระดับราคา 6-7 หมื่นบาท/ตารางเมตร (Reuters)

TYONG ลั่นปีนี้กำไรโตเท่าตัว รุกบ้านเดี่ยว-ขายที่ดินเปล่า
"ธนายง" มั่นใจผลงานปี 2553 กำไรโตเท่าตัว ประกาศรุกโครงการบ้านเดี่ยว ธนาซิตี้ ปรับกลยุทธ์ขายที่ดินเปล่ากว่า 200 ไร่ รอสนามกอล์ฟ-
สาธารณูปโภคเสร็จสมบูรณ์ หวังมูลค่าเพิ่มขณะที่ธุรกิจโรงแรมไปได้สวยเซ็นสัญญารับจ้างบริหาร 20 โรงแรมในเวียดนาม-เขมร-ลาว-อินเดีย
(กรุงเทพธุรกิจ)

CAWOW คาดปี 53 ขาดทุนลดลง, หวังสมาชิกเพิ่ม-ลดต้นทุน
บมจ.แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์(CAWOW) คาดปี 53 จะมีผลขาดทุนสุทธิลดลงจากปี 52 หลังมีแผนลดต้นทุน ขณะเดียวกันคาดว่าจะมี
สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น ตามการปรับแผนธุรกิจ "ปี 2010 ยังจะมีผลขาดทุนอยู่ แต่น่าจะขาดทุนน้อยกว่าปี 2009 แต่ cashflow จะดีขึ้น"นายแอริค มาร์ค เลอ
วีน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CAWOW กล่าว CAWOW มีผลขาดทุนสุทธิตั้งแต่ปี 50 โดยช่วง 9 เดือนแรกปี 52 มีผลขาดทุนสุทธิ
รวม 196.25 ล้านบาท ปีนี้บริษัทมีแผนลดต้นทุนลง 40% รวมถึงการปรับแผนธุรกิจใหม่โดยจะปรับการเก็บค่าบริการสมาชิกรายปี จากเดิมจะเป็นการ
จ่ายล่วงหน้าก้อนใหญ่ให้เป็นการจ่ายรายเดือน โดยราคาค่าบริการจะเพิ่มขึ้นได้ราว 50% จากปัจจุบันที่เฉลี่ย 1-1.5 พันบาท/เดือน ซึ่งจะทำให้บริษัทมี
กระแสเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในการขยายธุรกิจ ปัจจุบันมี CAWOW มีฐานลูกค้า 1.15 แสนคน มีสาขาทั้งสิ้น 10 สาขา วานนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้น
CAWOW อนุมัติแผนเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยการออกหุ้นใหม่ 402 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1.34 หุ้นใหม่
ในราคาหุ้นละ 0.45 บาท (Reuters)

Source: BSEC Research

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

หยิบเงินยิบทอง 2010-01-06

ประเด็นสำคัญวันนี้: SET INDEX วันที่ 2 ของปีเสือ ยังคงเป็นไปอย่างผันผวน โดย SET INDEX ไม่สามารถทะลุ 740 จุด พร้อมกับปรับฐานลงแรงในช่วงบ่าย นำโดย PTT และหุ้นหลักในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่าเป็นผลจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ลดลง สร้างความผันผวนให้แก่ภาวะการลงทุนระหว่างวัน

ขณะที่นักลงต่างชาติได้กลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 376 ล้านบาท แม้จะถือสถานะ Short ใน Futures เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 164 สัญญา แต่น่าจะเป็นการ Short ใน Gold Futures เป็นหลัก พร้อมกับการซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 และมากขึ้นเป็น 3,432 ล้านบาท ซึ่งการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทาง SET INDEX ในช่วงถัดจากนี้ไป KimEng ยังคงเชื่อว่านักลงทุนกลุ่มนี้จะกลับมาสนใจและเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ด้วยประเด็นด้านเศรษฐกิจ, ผลการดำเนินงาน และเงินปันผลเป็นสาเหตุสำคัญ ส่วนความเสี่ยงด้านการเมือง น่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศยอมรับได้เช่นกัน

ทั้งนี้กลุ่มอุตฯ ที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดรวม จะเป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน, โรงกลั่น และสินค้าเกษตร ตามมาด้วยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ประกาศงบ 4Q52 เป็นกลุ่มแรก ภายในวันที่ 21 ม.ค.

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng ยืนยัน “ถือพอร์ตการลงทุน” เพื่อรอจังหวะการขายทำกำไรบริเวณแรกที่ 750-755 จุด พร้อมแนะนำ “ทยอยสะสม” PTTAR / MAJOR / TTA และขายทำกำไรใน TVO

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้ “ถือสถานะ Long S50H10” ข้ามวัน หรือ “ทยอยเปิดสถานะ Long ใน S50H10 บริเวณ 513 +/- จุด Stop Loss เมื่อ S50H10 < 510 ปิด Long

Source: Kimeng

Daily Direc 2010-01-06

Market Attitude: ตลาดแกว่งตัวยื้อ
ตลาดหุ้นไทยผันผวนจากการขายทำกำไร แม้บรรยากาศการลงทุนใน
ต่างประเทศจะช่วยหนุนขึ้นได้ แต่ปัจัยในประเทศจะถ่วงไปในทางลบมากกว่า
ทำ ให้นักลงทุนไม่กล้าทำ ราคาต่อขึ้นไป ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวานปรับลง
เล็กน้อย โดยตัวเลขเศรษฐกิจออกมาทั้งดี (ยอดสั่งซื้อโรงงาน) และผิดหวัง
(ยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย) ทำให้หุ้นที่ขึ้นไปถูกการขายเพื่อลดความ
เสี่ยงลงมา ข้อมูลที่อยู่อาศัยที่ยังอ่อนแอ สนับสนุนความเห็นของเฟดที่ยัง
ต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ด้านราคาน้ำมัน ยัง
บวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 9 เนื่องจากปัจจัยหลักในช่วงนี้คืออากาศหนาวเย็น
รวมทั้งผลจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงด้วย สำ หรับปัจจัยในประเทศช่วงนี้
โดยรวมไม่มีอะไรเป็นบวก รอติดตามการเมือง ที่จะเข้มข้นมากขึ้น โดยการ
ชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เรื่องมาบตาพุด บริษัททยอยยื่นของอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลเป็นรายโครงการไป โดยโครงการที่มีลุ้นผ่าน ก็เป็นโครงการที่ได้รับ EIA
ก่อนปี 50 นอกนั้นโอกาสก็น้อยลง ซึ่งจะต้องรอปฏิบัติตามกฎหมาย
รัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรค 2 ต่อไป ฉะนั้นมองแล้วก็น่าจะรอลุ้นโครงการ
โรงแยกก๊าซ 6 ของ PTT เป็นหลัก เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะผ่าน และ
ถ้าผ่านก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อทั้ง PTT และ PTTCH และพ่วง PTTEP ผู้จัดหา
ก๊าซธรรมชาติเข้าไปด้วย
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะสั้น แม้จะมีสัญญาณลบจากที่ไม่
ผ่านแนวต้าน 742 แต่ด้านลบก็ยังไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ที่ 730 กลยุทธ์
ช่วงนี้ จะกลับเข้าไปเล่น เมื่อผ่านแนวต้าน 737-742
กำไรแบบต่อยอด
กลยุทธ์การลงทุน
�� ระยะกลาง : ที่ลุ้นตอนผ่าน 720 จุด ยังถือต่อ
�� ระยะสั้น : ลงไม่เล่น แต่ถ้าผ่าน 737-742 จุด ลุ้นเล่นต่อยอด
Market Viewpoint:
ตลาดหุ้นสหรัฐ – ดาวโจนส์ -11.94 จุด -0.11% ปิดที่ 10,572.02 ขณะที่
ยอดสั่งซื้อโรงงานที่ดีเกินคาดและการพุ่งขึ้นของยอดขายรถยนต์ของฟอร์ด
มอเตอร์ บ่งชี้หลักฐานมากขึ้นของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่การลดลง
อย่างมากของยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย ซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9
เดือน ได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัย และสกัดกั้นการปรับตัวขึ้น
ของตลาดโดยรวม
น้ำมันดิบ – NYMEX +0.26 เหรียญ +0.32% ปิดที่ 81.77 ดอลลาร์/
บาร์เรล ขึ้นเป็นวันที่ 9 ติดต่อกัน ภาวะอากาศหนาวเย็นยังช่วยหนุนราคา
น้ำมัน
สหรัฐ - เฟดคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นในอัตราปานกลางต่อไปในปีนี้ แต่
เฟดจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ใน "ระดับต่ำมาก" ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของการจ้างงาน
เศรษฐกิจโลก - IMF ส่งสัญญาณปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกใน
รายงานเดือนนี้
PTT - ระบุว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลุ่มปตท.ได้ทยอยยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง
กลาง เพื่อขอยกเว้นการถูกระงับการดำเนินกิจกรรมในพื้นที่มาบตาพุด
KBANK - ตั้งเป้าขยายฐานสินเชื่อที่อยู่อาศัยปีนี้ ประมาณ 13% จากที่มี
ยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างในสิ้นปีก่อนที่ 1.28 แสนล้านบาท โดยมอง
เศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว
THAI - คาดผลประกอบการไตรมาส 4/52 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดในปี 52
เนื่องจากผลตอบแทน (yield) ในไตรมาส 4 สูงสุดในรอบ 2 ปี
TTW - เผยปีนี้ จะหาโอกาสขยายการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้า
ผลตอบแทนราว 15% ต่อปี
Market News
เฟดชี้จำเป็นต้องตรึงดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อหนุนการจ้างงาน
นางอลิซาเบธ ดุ๊ค ผู้ว่าการคนหนึ่งของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)กล่าวว่า เฟดคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นในอัตราปานกลางต่อไปในปีนี้ แต่
เฟดจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ใน "ระดับต่ำมาก" ต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของการจ้างงาน นางดุ๊คกล่าวต่อที่ประชุมทาง
เศรษฐกิจแห่งหนึ่งว่า กำลังการผลิตส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตต่อไปอีกระยะหนึ่งและปัจจัยนี้จะช่วย
ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ "การใช้นโยบายแบบผ่อนคลายนี้ถือเป็นสิ่งที่เหมาะสม เพื่อเป็นการสนับสนุนให้กิจกรรมที่แท้จริงและการว่างงานกลับเข้าสู่ระดับที่
พึงปรารถนามากยิ่งขึ้นในอนาคตขณะที่ราคามีเสถียรภาพ" (Reuters)

IMF ส่งสัญญาณปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในรายงานเดือนนี้
นายจอห์น ลิปสกี รองผู้อำนวยการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า รายงานคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของ IMF ที่จะมีการ
เปิดเผยในเดือนนี้มีแนวโน้มที่จะแสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์ในทางบวกมากยิ่งขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ นายลิปสกีเขียนใน blog ของ IMF ว่า
แนวโน้มที่ดีขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดในตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดการเงิน และจะส่งผลต่อรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ IMF จะเปิดเผยออกมาในเดือน
นี้ อย่างไรก็ดี นายลิปสกีเตือนว่า มีปัจจัยหลายประการที่ยังคงสร้างความกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงนี้ นายลิปสกีระบุว่า "ช่วงเวลานี้ไม่ใช่
ช่วงเวลาปกติ และปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อแนวโน้มในอนาคตก็ยังคงเป็นปัจจัยที่แข็งแกร่ง และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วอาจฟื้น
ตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย" นายลิปสกีตั้งข้อสังเกตว่า อัตราการว่างงานที่ระดับสูงกำลังจำกัดปริมาณการบริโภคในบางพื้นที่ ในขณะที่ฐานะการเงินที่อ่อนแอลง
ของภาคครัวเรือนส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยมีแนวโน้มที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ หนี้สูญยังคงเพิ่มขึ้นในบางภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาค
อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ปัจจัยทุกประการข้างต้นนี้บ่งชี้ว่า ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกจำเป็นต้องดำเนินมาตรการทางการคลังในการกระตุ้น
เศรษฐกิจต่อไปในปีนี้พร้อมกับพัฒนากรอบการทำงานระยะกลางในการลดการใช้จ่ายของรัฐ และลดยอดขาดดุลที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (Reuters)

กองสลากฯ มีมติระงับเดินหน้าหวยออนไลน์ รอผลศึกษาของคกก.ที่นายกฯตั้ง
คณะกรรมการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีมติให้ระงับกระบวนการเดินหน้า โครงการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล 2 ตัว 3 ตัว ผ่าน
เครื่องอัตโนมัติ(หวยออนไลน์) เอาไว้ก่อนเพื่อรอผลสรุปของคณะกรรมการ ที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาก่อน (Reuters)

ปตท.เผยขณะนี้บริษัทในกลุ่มทยอย ยื่นขอเว้นถูกระงับโครงการมาบตาพุดแล้ว
บมจ.ปตท.(PTT) ระบุว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลุ่มปตท.ได้ทยอยยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอยกเว้นการถูกระงับการดำเนินกิจกรรมใน
พื้นที่มาบตาพุด สำหรับโครงการของกลุ่มซึ่งรวมโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติ แห่งที่ 6 ด้วย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่าย
สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม PTT กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มปตท. ซึ่งประกอบด้วย ปตท.,บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH), บริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัด รวม
6 โครงการ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอผ่อนผันให้สามารถดำเนินกิจกรรมในพื้นที่มาบตาพุด กลุ่ม PTT มีแผนยื่นคำร้องต่อศาลฯเพื่อขอ
ยกเว้นการถูกระงับโครงการในพื้นที่มาบตาพุดรวม 9 โครงการ จาก 18 โครงการในกลุ่มที่ยังคงถูกระงับการดำเนินกิจกรรม (Reuters)
ความเห็น: โครงการที่ยื่นศาล มีทั้งโครงการที่ได้รับ EIA ก่อนรัฐธรรมนูญปี 50 จะบังคับใช้ ซึ่งก็รวมถึงโครงการโรงแยกก๊าซ 6 ของ PTT
โครงการส่วนขยาย HDPE 2.5 แสนตัน และโครงการผลิตสารเอทานอลเอมีน ของ PTTCH ซึ่งโครงการเหล่านี้มีความเป็นได้สูงที่ศาลจะให้ดำเนินการต่อ
ได้ โดยดูคำตัดสินของเหล็กสยามยามาโตะ ของกลุ่ม SCG ที่ศาลอนุญาตให้ทำ เป็นแนวทาง นอกจากนี้บริษัทในกลุ่ม PTT ยังได้ยื่นคำร้องสำหรับ
โครงการที่มองว่าไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการส่วนขยาย หรือโครงการปรับปรุงโรงผลิต แต่เรามองว่าโอกาสที่
โครงการเปล่านี้จะผ่าน จะน้อยกว่า อย่างไรก็ตามเรามองว่า ถ้าโครงการใหญ่อย่างโรงแยกก๊าซ 6 ผ่าน ก็ถือเป็นข่าวบวกสำหรับทั้ง PTT และ PTTCH

KBANK ตั้งเป้าฐานสินเชื่อบ้านปีนี้โต 13% จาก 1.28 แสนลบ.ปีก่อน
ธ.กสิกรไทย(KBANK) ตั้งเป้าขยายฐานสินเชื่อที่อยู่อาศัยปีนี้ ประมาณ 13% จากที่มียอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างในสิ้นปีก่อนที่ 1.28 แสน
ล้านบาท โดยมองเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว จะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตตามไปด้วย ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ ในส่วนของสินเชื่อที่อยู่
อาศัย ไว้ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท โดยจะมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่กู้เพื่อซื้อบ้านใหม่ บ้านมือสอง หรือลูกค้ารีไฟแนนซ์ สำหรับอัตรา
ดอกเบี้ย มั่นใจว่า KBANK จะสามารถแข่งขันในตลาดได้โดยล่าสุดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป จะคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 0% ในเดือนที่
1-3 จากนั้นมีอัตราดอกเบี้ย 6 แบบให้ลูกค้าเลือก เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้และสภาพคล่องทางการเงินของลูกค้า (Reuters)

THAI คาดผลประกอบการ Q4/52 ดีสุดของปีก่อน หลังปรับเส้นทางการบิน
บมจ.การบินไทย(THAI) คาดผลประกอบการไตรมาส 4/52 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดในปี 52 เนื่องจากผลตอบแทน (yield) ในไตรมาส 4 สูงสุดใน
รอบ 2 ปี นายอำพน กิตติอำพน ประธานคณะกรรมการ THAI กล่าวว่า สาเหตุที่ผลประกอบการไตรมาส 4/52 ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับเส้นทาง
การบิน และการปรับใช้เครื่องบินให้มีความเหมาะสม ส่งผลให้อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร(เคบิน แฟคเตอร์)ของเดือนธ.ค.ในบางเส้นทางระหว่าง
ประเทศ สูงถึง 78-79% ส่วนเคบิน แฟคเตอร์ในประเทศ เกิน 80% ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)ของปี 52
นายอำพน คาดว่าจะสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในแผนฟื้นฟู คือ 2.4 หมื่นล้านบาท จากการพิจารณาตัวเลขข้อมูลในไตรมาส 3 และช่วง 2 เดือน ใน
ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา (Reuters)

TTW มีแผนลงทุนในตปท.ใช้เงินราว 1 พันลบ., กำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อน
บมจ.น้ำประปาไทย(TTW) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาเอกชนรายใหญ่ที่สุดของไทย เผยปีนี้ จะหาโอกาสขยายการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น
โดยตั้งเป้าผลตอบแทนราว 15% ต่อปี ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ คาดจะได้ข้อสรุปในครึ่งปีหลัง ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นลักษณะการร่วมทุนกับพันธมิตร
ในเอเซีย เล็งจะนำเงินไปลงทุนราว 1 พันล้านบาท ผู้บริหาร TTW ยังคาดกำไรสุทธิปีนี้ จะดีกว่าปีก่อน ตามความต้องการใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้น และภาระ
ดอกเบี้ยจ่ายน้อยลง ส่วนรายได้ตั้งเป้าที่ราว 4.4 พันล้านบาท สำหรับเงินลงทุน ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดหมุนเวียนประมาณ 1.8 พันล้านบาท เชื่อว่าจะ
สามารถรองรับการขยายงานได้ แต่หากไม่เพียงพอ บริษัทก็สามารถใช้ช่องทางตลาดเงินและตลาดทุนเข้ามาช่วยได้ (Reuters)

BAFS เผยธ.ค.52 ปริมาณเติมน้ำมันเติบโต 30.88%,ทั้งปี 52 ลดลง 4.5%
บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ(BAFS) ผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน เผยปริมาณเติมน้ำมันในเดือนธ.ค.52 เพิ่มขึ้น 30.88% จาก
เดือนเดียวกันปีก่อน หนุนให้ทั้งปี 52 ปริมาณน้ำมันลดลงเพียง 4.5% จากปีก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าเป้าหมายของบริษัท ในเดือนธ.ค.52 มีปริมาณเติมน้ำมัน
383.6 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากระดับ 293.1 ล้านลิตร ในธ.ค.51 โดยในส่วนนี้เป็นปริมาณน้ำมันของสนามบินดอนเมือง 8.43 ล้านลิตร สำหรับจำนวน
เที่ยวบินในเดือนธ.ค.52 เพิ่มขึ้น 31.16% มาที่ 13,070 เที่ยวบินจากระดับ 9,965 เที่ยวบินในธ.ค.51 ในจำนวนนี้เป็นเที่ยวบินของสนามบินดอนเมือง
1,255 เที่ยวบิน ขณะที่ปริมาณเติมน้ำมันในปี 52(ม.ค.-ธ.ค.) อยู่ที่ 4,116.6 ล้านลิตร ลดลง 4.5% จากระดับ 4,312.8 ล้านลิตร ในปี 51 (Reuters)

HTECH จะขายหุ้น PP ให้พันธมิตรจากสหรัฐ หวังช่วยหนุนตลาดตปท.
บมจ.แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ (HTECH) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องมือที่ใช้ตัดเฉือนโลหะ เล็งจะขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP) ให้กับ
พันธมิตรจากสหรัฐ เพื่อหวังช่วยทำตลาดในต่างประเทศ "ตอนนี้ เรากำลังรอคำตอบจากบริษัทคู่ค้าของเรา ซึ่งเป็นบริษัทในสหรัฐว่าจะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่ม
ทุนเราหรือเปล่า ให้เขาตอบมาไม่เกินกลางเดือนนี้" นายพีท ริมชลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HTECH กล่าว HTECH ได้เพิ่มทุน 20 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น
8.3% ของทุนจดทะเบียน เพื่อขายแบบ PP ซึ่งหุ้นในส่วนนี้ มาจากการที่บริษัทได้ลดจำนวนหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) เหลือ 40 ล้าน
หุ้น จาก 60 ล้านหุ้น ในช่วงที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) นายพีท กล่าวว่า หากบริษัทคู่ค้าจากสหรัฐ สนใจจะซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ดังกล่าว บริษัทก็พร้อมที่จะจัดสรรให้ในจำนวนประมาณ 10 ล้านหุ้น และจะเข้ามาช่วยบริษัทในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้ (Reuters)

Source: BSEC Research

คำศัพท์นักวิเคราะห์:

คำศัพท์เฉพาะที่ปรากฏอยู่ในเนื้อหาข่าวและความเห็นนักวิเคราะห์:
Collateralized Debt Obligations (CDOs) : ตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีสินทรัพย์อ้างอิง
Credit Default Swaps (CDS) : ตราสารหนี้ ซึ่งเป็นต้นทุนในการประกันการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้
Credit-Linked Notes (CLNs) / “เครดิตลิงก์โน้ต” : ตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออก (Issuer) และ หลักทรัพย์อ้างอิง
(Reference Aset) เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ เป็นต้น โดยผู้ออกตราสาร ( Issuer ) จะจ่ายคืนเงินต้นและผลตอบแทนตามจำนวนหน้าตั๋ว ( Par Value and Interest ) ให้เมื่อครบ
กำหนดอายุของตราสารที่ลงทุน
Euro Commercial Paper (ECP) : ตั๋ว ECP มีความเกี่ยวเนื่องกับ Credit-Linked Notes (CLNs)
Reference Asset : หลักทรัพย์อ้างอิง
Structured Note / “สตรักเจอร์โน้ต” : เป็นการลงทุนในกองทุน ประเภท “สตรักเจอร์โน้ต” เป็นการลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง ที่ธนาคารที่มี
กฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเงินทุนรายใดเป็นผู้ออก ซึ่งตราสารนั้นมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับค่าเฉลี่ยของอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีใด ดัชนีหนึ่ง หรือการ
เปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง เช่นดัชนีหุ้นในต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำในตลาดโลก ที่มีกองทุนในลักษณะดังกล่าวออกมาให้เห็นบ้างแล้วใน
ปัจจุบัน
Subprime Market / ตลาดซับไพร์ม : ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือต่า / ตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ
Subprime Mortgage / Subprime Lending / Subprime Loan : ปล่อยกู้จำนองแก่ลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ
Subprime Mortgage Segment : ตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ
Mortgage Loan : สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
Mortgage-backed Securities (MBS) : หุ้นกู้จำนอง ; หลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อจำนองบ้านเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อจากธนาคารกลาง
Mortgage-backed Securities (MBS) Market: ตลาดรองรับธุรกรรมหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อจำนองบา้ นเป็นหลักประกัน
Real Sector : ภาคธุรกิจทั่วๆไป หรือ กลุ่มธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มสถาบันการเงิน
Equity Fund (กองทุนตราสารทุน) : กองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นโดยมีนโยบายนำเงินไปลงทุนในตราสารทุน (Equity) ของบริษัทต่าง ๆ ปันผลจากกองทุน ประเภทนี้จะไม่แน่นอน แต่จะมีอัตรา
สูงกว่าอัตราปันผลจากกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งให้ปันผลตอบแทนที่แน่นอน
Fixed-Income Fund (กองทุนตราสารหนี้): กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนเฉพาะในหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ประเภทต่าง ๆ ใบสำคัญแสดงสิทธิ ในการซื้อหุ้นกู้ พันธบัตร
รัฐบาล เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ฯลฯ ซึ่งจะมีรายได้จากดอกเบี้ยเป็นหลัก ผู้ลงทุนถือ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมประเภทนี้จะได้ผลตอบแทนไม่สูงมากเท่ากองทุนรวมที่มุ่ง
ลงทุนในหลักทรัพย์ ประเภทตราสารทุน (Equity Fund) แต่ก็จะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนกว่า
Securitization (การแปรรูปสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์) : กระบวนการนำสินทรัพย์ของบริษัท (หรือสถาบันการเงิน) ประเภทลูกหนี้เงินกู้ต่าง ๆ ที่สร้างรายได้ประจำแต่มี สภาพคล่องต่ำ เช่น
ลูกหนี้เงินกู้ที่อยู่อาศัย เงินกู้บัตรเครดิต หรือเงินกู้ซื้อรถยนต์ เป็นต้น ชนิดหนึ่งชนิดใดมารวมกัน เป็นกอง สินทรัพย์ (Pool Assets) สำหรับใช้เป็นหลักประกันในการออกตราสารทางการเงิน (เช่น
ตั๋วเงินหรือหุ้นกู้) เพื่อจำหน่ายให้แก่ นักลงทุนทั่วไป หรือขายแบบเจาะจง (Private Placement) ให้นักลงทุนสถาบันเฉพาะราย หรือเฉพาะกลุ่ม
บัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศที่เป็นบัญชีเฉพาะสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (SNS)
Hedge Fund : กองทุนประกันความเสี่ยง หรือ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ หรือ กองทุนบริหารความเสี่ยง
Fully Hedge : มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 100% ( Fully-Hedged against Forex Risks)
Hedge / เฮดจ์ : ทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (เฮดจ์) เต็ม 100%
Mark to Market : การประเมินราคารายวันหรือตามราคาตลาด
Initial Public Offering (IPO) : การเปิดเสนอขายหุ้น หรือ หน่วยลงทุน เป็นครั้งแรก
Underlying Asset : สินทรัพย์อ้างอิง
Bridge Financing / Bridge Loan : การกู้ยืมเงินระยะสั้น 1 ปี เพื่อสร้างฐานให้มั่นคงจนกว่าจะได้เงินกู้ยืมที่มั่นคงมากขึ้นยิ่งกว่า (permanent financing)
กองทุนประเภทเอฟไอเอฟ (FIFs) : กองทุนรวมเพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ
AUM (เอยูเอ็ม) : สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุน FIFs
กองทุนรวมประเภทอีทีเอฟ (Exchange Traded Funds - ETFs) : หุ้นทุน / กองทุนเปิดที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลท.เปรียบเสมือนเป็นหลักทรัพย์หนึ่ง ซึ่งมีนโยบายการลงทุนโดย
มุ่งเน้นให้ได้อัตราผลตอบแทนเทียบเท่าดัชนีที่ใช้อ้างอิง ทั้งนี้รวมถึงดัชนีราคาหลักทรัพย์ ดัชนีราคาตราสารหนี้ ดัชนีราคาทองคำ
ETFS (อีทีเอฟเอส) : Strategic Investment Management Tool
SIPF (เอสไอพีเอฟ) : กองทุนคุ้มครองผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ ( Securities Investor Protection Fund หรือ SIPF)
Structured Note (สตรัคเตอร์โน้ต) : ตราสารอ้างอิงทางการเงิน
(Equity Instruments) : ตราสารทุน
( Convertible Debenture ) : หุ้นกู้แปลงสภาพ
( Derivative Warrant : DW ) : ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
( Transferable Subscription Rights : TSR ) : ใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้
( Non - Voting Depositary Receipt : NVDR ) : ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย หรือ เอ็นวีดีอาร์
( Depository Receipt : DR ) : ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง
Participatory Notes (P-Notes) : ตราสาร P-notes นี้ออกโดยนักลงทุนสถาบันต่างชาติ (FII) ที่จดทะเบียนในอินเดีย และขายให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่ไม่ได้จดทะเบียน
Foreign Institutional Investors (FII) : นักลงทุนสถาบันต่างชาติ
Structured Investment Vehicles (SIVs) : ตราสารอนุพันธ์ SIVs ที่มีสินทรัพย์อ้างอิง
Fannie Mae / FNMA : Federal National Mortgage Association (สมาคมการจำนองแห่งชาติ ของรัฐบาลกลาง หรือ แฟนนี เม) เป็นชื่อย่อของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ด้านปล่อยกู้
สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐ โดยองค์กรทั้งสองมีพอร์ทสินเชื่อจำนองรวมกันราวครึ่งหนึ่งของสหรัฐ
Freddie Mac / FHLMC : Federal Home Loan Mortgage Corporation (บรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง หรือ เฟรดดี แมค) เป็นชื่อย่อของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ด้านปล่อย
กู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐ โดยองค์กรทั้งสองมีพอร์ทสินเชื่อจำนองรวมกันราวครึ่งหนึ่งของสหรัฐ
GSE / Government-Sponsored Enterprise : แฟนนี เม และเฟรดดี แมคเป็นวิสาหกิจที่มีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน (GSE)